วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2551

เรื่องชวนสงสัย กับอุบัติเหตุรถพ่วงU-HAULที่ออกอากาศในรายการInsideEditionช่องTrue X-Zyte



--ออกอากาศเมื่อวันศุกร์ที่20มิถุนายนที่ผ่านมา เป็นช่วงของInside Edition : Investigates เสนอเรื่องเกี่ยวกับอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เกิดกับผู้ที่เช่ารถพ่วงขนของจากบริษัทU-HAULมาใช้ ซึ่งเกิดบ่อยมากในช่วงที่รายการนี้ออกอากาศ เลยมีการตั้งคำถามว่า รถพ่วงU-HAUL ปลอดภัยจริงหรือเปล่า ทางบริษัทมีมาตรการบอกลูกค้าเรื่องความปลอดภัยในการใช้งานหรือไม่ ตัวรถพ่วงมีสภาพพร้อมใช้หรือเปล่า โดยนำตัวอย่างอุบัติเหตุล่าสุดที่เกิดขึ้นกับผู้เช่ารถพ่วงU-HAULมาเป็นกรณีตัวอย่าง เขาขื่อ Devin Letzer กับพ่อของเขา ซึ่งเช่ารถพ่วงมาใช่ เหตุเกิดเมื่อปี2003 ตามคำให้การ Devinบอกว่า ตัวพ่วงเริ่มส่าย และรถก็สะบัดจนพลิกคว่ำ พ่อของเขาซึ่งไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยจึงกระเด้นออกจากตัวรถและเสียชีวิต
--Joe Shoen ซึ่งเป็นCEOได้ออกมากล่าวว่า เป็นเพราะเจ้าของรถขับเร็วเกินกว่าที่U-HAULกำหนด และโหลดน้ำหนักผิดตำแหน่ง ดดยน้ำหนัก60% ควรจะอยู่ด้านหน้าของตัวพ่วง เขาเลยสาถิตโดยนำตัวพ่วงมาพ่วงเข้ากับรถเก๋งFord Taurus และใช้คอนกรีตถ่วงน้ำหนักในตำแหน่งที่ถูกต้องอย่างที่บอกมา รถยังควบคุมได้เป็นปกติ แม้จะขับเร็วและหรือในตอนหักเลี้ยว แต่เมื่อเคลื่อนคอนกรีตไปที่ด้านหลัง รถกลับเสียการควบคุมโดยเริ่มส่ายเมื่อขับเร็ว แม้แค่เบรครถก็ทำให้ปัดทั้งตัวพ่วงและตัวรถ
--ทางรายการซึ่งมีฝ่ายที่ทำหน้าที่สืบสวนความจริง ได้ซ่อนกล้องและสุ่มเช่ารถ จากตัวแทนใน5รัฐ จาก8แห่ง มีเพียงแห่งเดียวที่พูดเรื่องคุ่มือความปลอดภัย ที่เหลือมักจะใส่หนีบเอาไว้ในเอกสารอื่น กว่าผู้เช่าจะเจอก็ขับรถออกไปแล้ว มีการสนัมภาษณ์อดีตผู้จัดการสาขาของU-HAUL ซึ่งเคยทำงานมา4ปีที่ชื่อ Dan Catalini ซึ่งถูกให้ออกจากงานเพราะทำยอดขายได้น้อยกว่าที่ควรเป็น เขาพยายามฟ้องร้องแต่ก็แพ้คดี เขาได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้หลังทางรายการถามเขาว่า U-HAULมีมาตรการด้านความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน เขาตอบว่า "น้อยกว่าที่ควรจะเป็น"
--ทางรายการได้ไปยังหน่วยงานด้านความปลอดภัยทางการจราจรที่ Bergen County, รัฐ New Jersey ในการสืบสวนเรื่องนี้ พบว่าจากการสุ่มตรวจก็เจอรถพ่วงบางคันที่มีปัญหา 4ใน14ของรถพ่วงมีไฟฉุกเฉินที่ใช้งานไม่ได้ ชิ้นส่วนคานหลังมีปัญหา บางคันมีรอยการซ่อมแซมจากอุบัติเหตุอย่างไม่ค่อยเรียบร้อย สายไฟของระบบไฟฟ้าที่เริ่มยุ่ย และมีคันหนึ่งไม่มีน้ำมันเบรค
--ภายในรถแม้จะมีฉลากบอกวิธีต่างๆที่ถูกต้องวมถึงคำเตือนเรื่องความปลอดภัย แต่บางคันก็อยู่ในสภาพที่เลือนจนอ่านไม่รู้เรื่อง
--ทางฝ่ายผู้บริหารก็บอกในการให้สัมภาษณ์ว่า ถ้าคุณเจอปัญหาอะไรคุณก็ควรและสามารถที่บอกได้ทันที หรือปฏิเสธการเช่ารถพ่วงนั้นได้ และเขายังยินยอมให้เบอร์โทรศัพท์มือถือที่เป็นเบอร์ส่วนตัวของเขาด้วย เพื่อให้ลูกค้าร้องเรียนหรือแจ้งเรื่องต่างๆได้ ทางU-HAULยินดีรับฟังและแก้ปัญหาต่างๆให้ได้
--ส่วนกรณีของ Devin มีการประณีประนอมกันนอกศาลได้แล้ว
---------------------------------------------------------------------------------
--นั่นคือเนื้อข่าวจากที่ผมจำได้ในรายการ และค้นหามาจากเว็บไซต์ของรายการInsideEdition แต่ที่คาใจบางอย่างคือ ผมรู้สึกว่าเหมือนมีการ ฟังความอีกข้างในเชิงกล่าวหาบริษัทUHAULมากกว่าหรือเปล่า โดยเฉพาะในส่วนของ คำสัมภาษณ์อดีตผู้จัดการสาขาย่อยของU-HAUL แหงหล่ะครับ ถูกไล่ออกเพราะทำยอดขายตก แถมแพ้ตอนฟ้องร้องคดี เขาคงอยากจะหาโอกาสเพื่อพูดผ่านสื่อโจมตีบริษัทที่ทำให้เขาตกงานอยู่แล้วหล่ะ ถ้าทางรายการอยากจะหาอดีตพนักงานของU-HAULมาสัมภาษณ์ ก็น่าจะเอาพวกที่ออกไปเพราะเกษียณแล้วมากกว่านะผมว่า
--ที่สำคัญอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับพ่อของ Devin นั้น คิดดูครับ นั่งรถไปกับลูกบนฟรีเวย์โดยไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ทุกคนรุ้ใช่มั๊ยครับว่า การขับขี่หรือดดยสารรถยนต์โดยไม่คาดเข็มขัดนิรภัยนั้น คือการขยับเข้าใกล้วามตายที่มากขึ้น
--แล้วจากที่ดูในรายการ ที่มีการแสดงภาพอุบัติเหตุประกอบนั้น รถที่ใช้ลากจะเป็น กระบะ รถSUV รถที่Devinใช้ก็เป็นSUV รถพวกนี้มีจุดศูนย์ถ่วงสูงจากตัวรถที่สูงกว่ารถเก๋งปกติ ต่อให้ไม่ต้องลากพ่วง รถพวกนี้พลิกคว่ำได้ง่ายกว่ารถเก๋งในกรณีที่รถปัดเพราะหักเลี้ยวเร็วเกินไป หรือเสียการควบคุมไม่ว่าจะเพราะถนนลื่นหรือเพราะสาเหตุใดก็ตาม ผมเคยดูรายการรายการหนึ่งที่ทดสอบรถยนต์ในเรื่องของ ความเสี่ยงที่รถSUVจะพลิกคว่ำง่ายเมื่อเลี้ยวกระทันหันหรือเสียการควบคุม เริ่มด้วยการทดสอบกับรถเก๋งJAGUAR รุ่นXJ คนขับซึ่งเป็นักแข่งอาชีพและสวมชุดป้องกันอย่างดีได้ลองขับให้รถหมุนเหมือนเวลารถเสียหลักจากถนนลื่น ผลออกมาแค่รถปัดหมุน ไม่พลิกคว่ำ แต่เมื่อเปลี่ยนมาใช้รถRANGE ROVERรุ่นต้นยุคทศวรรษ'90 และขับในลักษณะเดียวกัน ผลออกมาคือ รถพลิกคว่ำครับ
--แม้รถกระบะ รถSUV และรถตู้สมัยนี้ จะมีระบบรักษาสเถียรภาพและระบบช่วยการควบคุมรถขณะขับขี่มากมายเพียงใด ก็ยังมีความเสี่ยงในการพลิกคว่ำจ่ากการเสียหลักหรือหักเลี้ยวอย่างเร็วมากว่ารถเก๋งอยู่ดีครับ
--และลองนึกดูนะครับ รถเก๋งหรือรถทั่วไปที่เราใช้อยู่ เขาออกแบบมาเพื่อใข้ลากจูงรถพ่วงกันหรือเปล่าครับ มีแต่รถบรรทุกที่ถูกออกแบบมาเพื่อการลากจูงโดยตรงเท่านั้น ที่เหมาะสม(และต้องอยุ่ในสภาพที่ดีด้วย) เหมือนการขี่รถจักรยานยนต์นั่นแหล่ะครับ ที่เมื่อมีคนซ้อนท้าย ก้หมายถึงภาระการควบคุมและความเสี่ยงอันตรายที่เพิ่มขึ้น และถ้าคนขี่มีทักษะต่างๆในการควบคุมหรือการตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินที่ไม่ดี โอกาสเกิดอุบัติเหตุจนรถล้มก็ย่อมสูงขึ้น การที่รถยนต์ปกติมีตัวรถพ่วงมาเกี่ยวข้องด้วยก็เช่นกันครับ ยิ่งขับเร็วเกินกำหนดด้วยแล้ว ยิ่งอันตรายเพิ่มขึ้นเข้าไปอีก และไม่ใช่แต่รถพ่วงU-HAULเท่านั้น ตัวพ่วงทุกประเภทก็เสี่ยงเท่ากันครับ ทั้งพ่วงลากเรือยนต์/เจ็ตสกี พ่วงลากรถมอเตอร์ไซต์ ตัวพ่วงบ้านเคลื่อนที่ และรถพ่วงพวกนี้เมื่อเจอกระแสลมเข้าที่ด้านข้างเมื่อตอนวิ่งบนถนน ก็มีโอกาสรถเอียงและปัดได้เช่นกันแม้จะปัดไม่มาก ซึ่งนิตยสารAutoBildของเยอรมันณี ได้ทดสอบแล้วในเรื่องที่ว่า รถประเภทใดแบบไหนมีอาการโคลงและปัดมากน้อยเพียงใดเมื่อเจอกระแสลมด้านข้าง วึ่งจำลองจากพัดลมยักษ์ที่ใช้ทดสอบหลักพลศาสตร์อากาศของรถยนต์ และผลที่ทดสอบกับรถยนต์ที่มีรถพ่วงท้ายก็ออกมาดังที่กล่าว ร่วมถึงรถที่มีตัวถังสูงเช่นSUVและรถตู้ รถที่มีที่ห้อยจักรยานด้านท้ายและกล่องเก็บสัมภาระบนหลังคาก็เช่นกันครับ แล้วความเร็วที่เขาใช้ก็เป็นความเร็วปกติ ถ้ายิ่งขับเร็วเกินกำหนด ผลเสียคงออกมาเลวร้ายกว่านี้แน่ๆ
--ในเมืองไทยเองก็มีตัวอย่างให้เห็นบ่อยๆกับรถพ่วงที่เป็นแบบ2ตอน (ที่เป็นรถสิบล้อธรรมดาแล้วดัดแปลงต่อพ่วงเข้าไป ไม่ใช่แบบรถเทรลเลอร์ยาว) ซึ่งอุบัติเหตุตัวพ่วงปัดหรือหลุดจนโดนรถคันอื่น มีคนเจ็บตาย ทรัพย์สินเสียหายไม่น้อย สาเหตุก็คล้ายกันเลยครับ ขับเร็ว เลี้ยวเร็วเกินไป บางทีสภาพรถก็ดันไม่ดีอีก
--ผมไม่ได้มาแสดงความเห็นเพราะเป็นญาติกับJoe Shoen หรือถือหุ้นหรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับยอดประกอบการของU-HAULหรอกนะครับ แต่แค่เพระรู้สึกคลาแคลงใจอย่างที่บอกมา เหมือนเสียงอีกฝ่ายมีมากกว่าอีกฝ่าย แล้วก็เลยได้นำความรู้เรื่องรถที่ได้อ่านได้ดูได้ฟังจากที่อิ่นมาประกอบด้วยในส่วนที่เล่าไปแล้ว รายละเอียดของข่าวนี้แบบเต็มๆเป็นภาษาอังกฤษ หาอ่านได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้เลยครับ มีวีดีโอข่าวประกอบด้วย
http://www.insideedition.com/news.aspx?storyID=1350

ไม่มีความคิดเห็น: