วันอังคารที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2551

รถกระบะ รถตู้ รถSUV..คิดดีๆก่อนซื้อมาเป็นเจ้าของ


เรื่องเก่าที่ยังมีให้เห็นกันอยู่ กับพฤติกรรมการใช้รถที่ไม่เข้าท่าของคนไทย ที่ชอบทำอะไรแค่ตามกระแส ข้อความเหล่านี้มาจากนิตยสาร ฟอร์มูลา ฉบับเดือนธันวาคม พ.ศ.2545 คอลัมน์เรื่อง รอบรู้เรื่องรถ เขียนโดย นายเจษฎา ตัณทเศรษฐี ข้อความบางส่วนถูกตัดทอนเพื่อความกระชับ

รถขับเคลื่อนสี่ล้อ (ที่ไม่ใช่รถเก๋ง) เป็นรถอเนกประสงค์ที่ใช้งานได้เกือบทุกที่ทุกโอกาส เช่น ใช้ในเมือง เดินทางไกล ลุยน้ำลุยโคลนหลุมบ่อ เข้าไร่ นา สวน แต่ถ้าจะซื้อมาใช้ต้องถามตนเองก่อนครับ ว่าเรามีโอกาสหรือต้องการใช้งานมัน แบบที่ผมยกตัวอย่างมานี้หรือเปล่า เพราะถ้าเอามาใช้งานในเมืองอย่างเดียว เราก็จะไม่ได้ประโยชน์ด้านดีของมันเลย แต่กลับได้แต่ด้านลบหรือด้านเลวของมันล้วนๆ คือสะเทือน (แม้ว่าบางรุ่นจะนุ่มระดับรถเก๋งชั้นดีก็ตาม) โคลง (เพราะตัวถังสูง และตัวเราก็นั่งในตำแหน่งสูงตาม) กินน้ำมันมหาศาล (ถึงจะเป็นเครื่องดีเซลก็ตาม) ขึ้นลงลำบาก เข้าซอยแคบลำบาก เข้าจอดลำบาก กลับรถยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพราะมุมเลี้ยวล้อหน้าน้อย แล้วยังคันยาวใหญ่อีกด้วย การทรงตัวก็ไม่ดีเท่าที่ควร บางคนอาจแย้งว่ารุ่นที่แพงมากๆ ก็ทรงตัวดีได้ ต้องเทียบกับรถเก๋งราคาเดียวกันครับถึงจะยุติธรรมและถูกต้อง
-ผมว่าพวกเราจำนวนไม่น้อย ถูกล้างสมองให้เอาอย่าง ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว โดยภาพยนต์จากฮอลลีวูดของสหรัฐ ฯ เพราะเราจะเห็นพระเอก นางเอก ผู้ร้าย ใช้รถประเภทนี้กันบ่อยมาก มันมีเหตุผลอยู่ในตัวของมันครับ ต้องดูรายได้ของพวกเขา แล้วดูค่าครองชีพ ดูราคาน้ำมันเชื้อเพลิง สัดส่วนรายได้ต่อราคาน้ำมันจะเป็นตัวตัดสินครับว่าเขาใช้ได้ แต่พวกเรานั้นไม่เหมาะ ภูมิประเทศของเขาก็ต่างกับของเรา พวกเรามีไร่ (RANCH) มีบ้านชนบท ที่ทางเข้าไม่เลวร้ายแต่ก็ไม่ใช่ถนนเรียบ รถประเภทนี้จึงเหมาะหรือจำเป็นสำหรับพวกเขา เมืองไทยต่างกันครับ ไปไหนก็มีถนนดีรออยู่ เพราะพวกเราชอบสบาย ใครมีที่ท่องเที่ยวที่ทางเข้าไม่ดีก็เตรียมตัว "เจ๊ง" ได้เลย
-คราวนี้ก็มาถึงเรื่องใหญ่ที่เข้าใจผิดกันอย่างมาก ผมได้ยินอยู่เสมอว่าพวกเราอยากได้รถประเภทนี้ไว้เที่ยวทางไกล หรือเอาไว้เดินทางไกล รถประเภทนี้ไม่มีอะไรเหมาะสมกับการเดินทางไกลทั้งสิ้นครับ ก็ด้วยข้อเสียต่างๆ เหมือนกับที่เอามาใช้ในเมืองนั่นเอง เหมือนกันทุกข้อครับ บางคนบอกว่าเอาไว้พาสมาชิกครอบครัวหลายคนไปเที่ยวทางไกล ก็ไม่มีเหตุผลอะไรรองรับครับ เพราะมันไม่ได้จุคนได้มากเป็นพิเศษ แม้จะมากเพราะเป็นรุ่นใหญ่ ก็ยังไม่เหมาะสมอยู่ดี กรณีแบบนี้ มีรถที่เหมาะสมจริงๆ คือรถตู้หรือรถแวน ซึ่งเราจะมาดูข้อดีและข้อเสียของมันกันเลย
-รถแวน (VAN) หรือรถตู้นั้น เดิมทีในความหมายแท้ๆ ของมัน คือรถตู้ทึบสำหรับขนของครับ แล้วก็มีคนดัดแปลงทำเป็นที่อยู่ภายในกันบ้าง ทำเป็นรถโดยสารบ้าง ตอนหลังโรงงานรถยนต์ก็เลยทำขายเสียเลย ส่วนใหญ่จะมีที่นั่งอย่างน้อยสามแถว เรียกว่าสามตอนน่าจะถูกกว่านะครับ ตอนนี้คงเข้าใจกันแล้วนะครับ ว่าพวกเราเอาคำนี้ไปใช้เรียกรถตรวจการณ์หรือสเตชันแวกอนกันอย่างผิดๆ มาตลอด รถแวนต้นตำรับในสหรัฐอเมริกานั้น ขนาดใหญ่มาก รถแวนรุ่นใหญ่สำหรับพวกเราหรือชาวยุโรป เช่น ไครสเลอร์ วอยาเจอร์/โฟล์คสวาเกน ชาราน/เรอโนลต์ แอสปาศ ชาวสหรัฐ ฯ จะเรียกว่ามีนีแวน
-ถ้าจะพูดแบบไม่เป็นทางการ ไม่เน้นความถูกต้อง ก็ต้องบอกว่ารถแวนหรือรถตู้ คือรถเก๋งหรือรถตรวจการณ์ที่นั่งได้สามตอน จุผู้โดยสารได้มากกว่ารถเก๋งปกติ เพราะฉะนั้นถ้าต้องการขนคนไม่ว่าจะในเมืองหรือเดินทางไกล แล้วรถเก๋งคับแคบที่นั่งน้อยเกินไป ต้องหันมาหารถแวนครับ อย่าไปซื้อรถขับเคลื่อนสี่ล้ออเนกประสงค์หรือ SUV (SPORT UTILITY VEHICLE) มาใช้
-ข้อดีของรถแวนคือการขนผู้โดยสารได้มากๆ หรือจะพับเก้าอี้ตอนหลัง แล้วเปลี่ยนเป็นผู้โดยสารค่อนข้างมาก บวกกับสัมภาระก็ได้ แต่อย่าเอามานั่งคนเดียวโด่เด่กับพนักงานขับรถเลยครับ เพราะตัวรถมันหนักเอาการ พื้นที่หน้าตัดก็มาก เปลืองน้ำมันเปล่าๆ ถ้าจะใช้ให้ถูกต้อง ก็ควรเป็นผู้บริหารที่จำเป็นต้องรับแขกระดับสูง หรือมีการประชุมย่อยในรถกันค่อนข้างบ่อย อาจจำเป็นต้องหันหน้ามาชนกันถกปัญหากันแบบเห็นหน้าเห็นตา แบบนี้ถึงจะถือว่าใช้ถูกประเภท ดูเหมือนอดีตนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่งจะช่วยโฆษณารถแวนยี่ห้อหนึ่งได้อย่างมากมาย เพราะก้าวขึ้นลงให้ชมในข่าวภาคค่ำทุกวัน จนรถรุ่นนี้ขายดิบขายดี เพราะคนไทยเราเอาอย่างได้โดยไม่ต้องหาเหตุผล
-ปิดท้ายด้วยกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุด ซึ่งก็คือรถกระบะขนาดเล็ก หรือขนาดน้ำหนักบรรทุก 1 ตัน (1,000 กก.) หรือรถพิคอัพนั่นเอง การที่เมืองไทยเป็นประเทศที่ผลิตรถพิคอัพ เป็นอันดับสองของโลก รองจากสหรัฐอเมริกานั้น แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง แต่ผมไม่เคยเห็นด้วยกับการใช้รถผิดประเภท สำหรับผู้ที่มีอาชีพหรืองานอดิเรกที่ต้องขนของที่ใช้รถเก๋งหรือสเตชันแวกอนขนไม่ได้ แน่นอนครับว่ารถพิคอัพคือยานพาหนะประเสริฐ ที่หาอะไรมาแทนไม่ได้ อาจมีข้อยกเว้นอยู่บ้างคือแม้จะไม่ต้องบรรทุกของ แต่สิ่งแวดล้อมต่างๆ ของผู้ใช้ แย่เกินกว่าที่จะใช้รถเก๋ง
-ผิดจากนี้ไปแล้ว ใครที่ใช้รถพิคอัพก็จะได้แต่ด้านเสียของมันแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งมีอยู่หลายข้อด้วยกัน คือ ประตูน้อย ขึ้นลงลำบาก ห้องโดยสารคับแคบ การทรงตัวที่ความเร็วสูงไม่ดีพอ สะเทือน ระยะเบรคยาวกว่ารถเก๋งมาก เรื่องนี้เรื่องใหญ่ครับ เพราะเกี่ยวกับความปลอดภัยโดยตรง ระบบเบรคล้อหลังของรถพิคอัพเป็นปัญหาใหญ่ของผู้ออกแบบผู้ผลิตมานานแล้ว เพราะเวลาบรรทุกเต็มพิกัดต้องเบรคได้แรงพอ คราวนี้พอไม่บรรทุก แรงเบรคมักจะเกินจนล้อลอค ถึงจะมีระบบควมคุมแรงเบรคตามน้ำหนักบรรทุกอยู่ ก็เป็นแบบหยาบครับ บางทีก็ชำรุดอยู่นานแล้ว ถึงจะทำงานได้ดีเป็นปกติ ก็ยังมีระยะเบรคยาวเกินกว่ารถเก๋งมากอยู่ดี เป็นระยะทางหลายเมตรที่จะตัดสินว่าจะชนหรือไม่ จะเจ็บมากหรือเจ็บน้อย จะรอดหรือตายได้นะครับ
-ถ้าความจุของเครื่องยนต์เท่ากัน เครื่องดีเซลจะแรงน้อยกว่าเครื่องเบนซินหลายสิบเปอร์เซ็นต์ การที่มีเทอร์โบชาร์เจอร์ ไม่ได้หมายความว่าเป็น "เครื่องแรง" นะครับ เพียงแค่ชดเชยให้มีกำลังพอๆ กับเครื่องเบนซินธรรมดาเท่านั้น ใครที่เคยใช้แต่รถกระบะเครื่องยนต์ดีเซล ลองหาโอกาสขับรถเก๋งเครื่องยนต์เบนซินให้นานพอ ก็จะเห็นความแตกต่างอย่างมาก คนที่มีความละเอียดพอ จะไม่สามารถทนความหยาบ เสียงรบกวน "ความเหี่ยว" ไม่มีแรงของเครื่องดีเซลได้เลยครับ ถ้าคนไทยรู้ความแตกต่าง รู้คุณค่ากันมากกว่านี้ ไม่หลงเชื่อคำโฆษณาประเภท "มาดเข้ม" อะไรทำนองนี้ แล้วหันมาใช้รถเก๋งกันอย่างรู้คุณค่า อากาศที่พวกเราหายใจกันจะสะอาดกว่านี้มาก คนไทยกำลังป่วยเพราะเขม่าพิษของเคี่องดีเซลจนถึงขั้นวิกฤติครับ เป็นมฤตยูใหม่ที่มาแทนควันขาวอันร้ายกาจของจักรยานยนต์สองจังหวะ ไม่ว่าผู้บริโภคจะซื้อรถอะไรมาใช้ เงินก็สะพัดเหมือนกันแหละครับ ไม่มีเหตุผลอะไรเลย ในการสนับสนุนให้คนไทยใช้รถกระบะเครื่องดีเซลกันจนเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด
-สรุปแล้วก็คือถ้าสำรวจตัวเองแล้ว ไม่เข้าข่ายกลุ่มต่างๆ ที่ผมยกตัวอย่างมาตั้งแต่ต้น ไม่ว่ารถนั้นจะราคาสูงหรือต่ำเพียงใด รถเก๋งเท่านั้นครับที่เหมาะที่สุด

ไม่มีความคิดเห็น: