วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Recylce ช่วยโลกได้จริงหรือ-บทความจาก nunsina.exteen

เห็นว่าน่าสนใจ และเป็นเรื่องที่เราอาจจะมองข้ามไป ขออนุญาติเอามาลงทั้งดุ้นเลยนะครับ

-------------------------------------------------------------------------------
รายการหนึ่งทาง True ที่ผมชอบดู คือ Bull Shit : Pen & Teller รายการนี้เป็นนำเสนอ เนื้อหาที่เป็นเรื่องทั่วๆไปที่มีขึ้นบนโลกใบนี้ และเป็นสิ่งที่แพร่หลายไปทั้งโลกด้วย เอามานำเสนอในอีกมุมมองหนึ่งที่ต่างออกไป ไม่ใช่นำเสนอแต่ในแง่ที่ดี (มันเป็นเรื่องปรกติที่พยายามนำเสนอแต่เรื่องดีๆอยู่แล้ว) ความยาว 25 นาที/ตอน โดยประมาณ

จากตรงนี้ไปอ่านอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งนะครับ
อย่างเช่นองค์กรพิทักษ์สัตว์(PETA) ที่พยายามปกป้องสัตว์ที่ถูกทำการทดลองจากมนุษย์ และเป็นที่มีสมาชิกทั่วโลก กว่า 1แสนคนเลย รายการก็จะเสนอในแง่ความจริงในแนวคิดบ้าๆ (งงไหมเนี่ย) อย่างเช่นการช่วยบุกช่วยเหลือสัตว์ต่างๆจากห้องทดลอง ทำลายตึกห้องทดลองต่างๆ เพราะเห็นว่าเป็นการทารุณกรรมสัตว์ แล้วสัตว์ที่ ที่พวกนั้นช่วยเหลือออกมา พวกเขาเอาไปเลี้ยงมั้ย คำตอบก็คือ "ไม่" ก็ส่งให้เทศบาลเอาไปดูแลสัตว์ เทศบาลก็ไม่มีเงินดูแลสัตว์เพราะต้องใช้เงินต่อเดือนจำนวนมากเป็นค่าอาหาร ก็แบกรับค่าใช้จ่ายจากสัตว์ที่พวกนี้โยนมาให้ไม่ไหว เลยต้องฉีดยาให้สัตว์พวกนี้ตายเดือนละเป็นร้อยตัว แล้วเจ้าพวกองค์กรพิทักษ์สัตว์นี้ก็มาประท้วงเทศบาลต่อ หาว่าฆ่าสัตว์ที่ไม่มีความผิดอีก(แล้วทำไมพวกนายไม่เอาเลี้ยงล่ะ)
สำนักงานใหญ่องค์กรพิทักษ์สัตว์นี้ ทั้งที่เป็นองค์กรประเภทNGO(ไม่แสวงหากำไร) แต่เป็นตึกมูลค่า ร้อยล้านดอลล่า ตั้งอยู่ริมน้ำที่สวยงาม(เอ...เอาเงินที่ไหนมาสร้างนะ) และที่ผมฮาสุดๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้หญิงที่มีตำแหน่งใหญ่ที่สุดในองค์กร ก็ป่วยเป็นโรคร้ายอย่างหนึ่งที่ ต้องใช้ยารักษาที่สร้างมาจากห้องทดลองที่ค้นคว้าจากห้องทดลองที่ทดลองจากสัตว์ที่พวกเขาพิทักษ์นั่นแหล่ะ แล้วรู้ไหมว่า พอมีคนถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้นำคนนี้ก็ตอบออกมาแนวๆว่า "ฉันต้องรักษาชีวิตของฉันเพื่อจะได้มาช่วยสัตว์ที่น่าสงสาร เหล่านั้นไง" ..............
ออกนอกเรื่องไปไกลมาก...... กลับมาๆ เรื่องRecycle ตอนหนึ่งรายการ Bull Shit นี้ก็นำเสนอเกี่ยวกับเรื่อง Recycle ผมไม่ได้อัดไว้ ไม่ได้ดูซ้ำ และไม่ได้จด เนื้อหาจึงอาจจะไม่ละเอียดนักเรื่องตัวเลข เพราะมาจากการจำในการดูครั้งเดียวเท่านั้น -*-....
ประมาณ ปี1970กว่าๆ USA ได้กำหนด สิ่งต้องทำเป็นวาระแห่งชาติ(จำภาษาอังกฤษไม่ได้) หนึ่งในเรื่องนั้นคือ "Recycle" โดยผู้กำหนดแนวคิดในตอนนั้นชื่อ Jay Winston Potter.......
ของหลักๆที่เรา Recycle มีอะไรมั่ง ก็กระดาษ ขวดพลาสติก กระป๋องอลูมิเนี่ยม ใช่ไหมครับ อาจจะมีมากกว่านี้ แต่นี่คือพวกหลักๆ แต่เชื่อไหมว่าค่าใช้จ่ายในกระบวนการ Recycle กระดาษกับพลาสติก กลับแพงกว่าผลิตใหม่ เกือบ 3เท่าแถมยังได้คุณภาพไม่ดี โดยเฉพาะ พลาสติกที่รีไซเคิลแล้วเอามาทำใหม่ก็เอาทำได้แต่ของคุณภาพไม่ดีของที่ไม่ค่อยมีคนใช้ กระดาษก็เห็นๆกันอยู่ หนังสือพิมพ์นั่นไง หรือหนังสือการ์ตูนรายสัปดาห์ของ Japan เล่มละ 2-300 บาท นั่นไงว่าคุณภาพมันดีขนยาดไหน....... ส่วนกระป๋องน้ำต่างๆที่สามารถเอามา Recycle ได้นั้น ค่าใช้จ่ายในการ Recycle ถูกกว่าผลิตใหม่ราวๆ40%เท่านั้น
เรามาลองนึกดูถึงข้อดีที่เราได้จากการ Recycle กันบ้าง

Good Enviroment - คนเรามักคิดว่า การ Recycle ดีต่อสิ่งแวดล้อม ขยะไม่ไปทำลายสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ แต่จริงๆแล้ว การเผาทำลายขยะ ก็เกิดอากาศเสียจากการเผา หรือการ Recycleสิ่งของต่างๆ ก็ต้องแยกของที่ใช้ไม้ได้เช่นพวกหมึกจากกระดาษ สารเคมีต่างๆ ออกจากสิ่งที่นำมาใช้ใหม่ได้ แล้วของที่ไม่ต้องการเหล่านั้นมันหายไปไหนล่ะ ..... เนื่องจากมันเป็นขยะเคมีที่มันอันตรายมากก็ต้องจ้างๆพวกบริษัทที่รับจำกัดพวกนี้ ไปแอบฝังตามที่ต่างๆที่เราไม่มีวันรู้อีกต่างหาก(สิ่งที่เอามาสร้างบ้าน สร้างถนนที่เราอยู่นี้ ก็อาจจะมีการปนเปื้อนสารเหล่านี้อยู่ก็ได้ ตามที่มีสารคดี การฟ้องการทิ้งสารเคมีอันตรายอย่างผิดกฏหมายทั่วๆไป .........
) ถ้าไม่เผาไม่ Recycle จะให้ทำยังไง อ้อขุดหลุมฝัง มันก็ไปเป็นการทำลาย สิ่งแวดล้อมไม่ใช่หรือ แถมยังส่งกลิ่นเหม็น สร้างความเดือดร้อนให้ เรื่องนี้ ผมขอโยงไปหัวข้อ Save Enegy ครับ

Save Enegy - Recycle มันประหยัดพลังงานยังไง เอ๊ะ ถ้าลองคิดดูดีๆ ก็จะนึกได้ว่ามัน....ต้องใช้ น้ำมันเพิ่มจากรถขนขยะปรกติ ก็ต้องเพิ่มรถขนขยะ Recycle จะกระดาษจะอะไรก็เถอะ จริงไหม..... แถม... ถ้าเผาขยะ ก็ต้องใช้เชื้อเพลิงอีก ส่วนพลังไฟฟ้าที่โรงงาน Recycleตามกระบวนการต่างๆใช้ 1เดือนนั้น ก็เพียงพอที่จะใช้ตามเมืองใหญ่ๆ ได้ตั้ง 3เดือน .....อื้ม ....... การ Recycle เป็นการประหยัดพลังงาน จริงๆ
แต่เดี๋ยวก่อนเรื่องประหยัดพลังงานยังไม่จบ เรื่องที่สืบเนื่องมาจาก "ดีต่อสิ่งแวดล้อม" การกำจัดขยะที่คนทำมาช้านานนั่นคือการขุดหลุมฝังขยะ การฝังขยะปัญหาที่ตามมาคือของเน่าหม็น เกิดก๊าซมีเทนส่งผลให้คนที่อยู่รอบๆที่ฝังทิ้งขยะ เดือดร้อนใช้ไหมครับ แต่ว่าที่ USA เขามีการทำเป็นระบบ ขุดหลุมฝัง ห่างไกลแหล่งน้ำ ทำที่เฉพาะ(ขี้เกียจอธิบาย เพราะไม่รู้ละเอียด) ส่วนก๊าซ มีเทนที่ได้จากขยะ เขาเอาไปผลิตพลังงานไฟฟ้า .... โดยในรายการอ้างว่า ..... ก๊าซมีเทนจากขยะ ปริมาณ1ปี สามารถนำไปผลิตไฟฟ้าได้ตั้ง 30ปี!!! คุณเชื่อหรือเปล่าล่ะ(ถ้าให้นึกภาพง่ายๆ ใครเคยเล่น Sim City นึกภาพโรงงานไฟฟ้าจากขยะไว้ แต่ในเกมมันเป็นการสร้างไฟฟ้าจากการเผาขยะซึ่งผมไม่ค่อยเข้าใจระบบเหมือนกัน(ใช้พลังงานจล สร้างพลังงานกลไปเกิดพลังงานกลอีกทีมั้ง) มันเลยส่งผลต่อมลภาวะในเกม .... และผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันไอ้โรงงานไฟฟ้าจากก๊าซมีเทนเนี่ยะ ส่งผลต่อมลภาวะ แค่ไหนเหมือนกัน) ส่วนที่ทิ้งขยะที่อ่อนนุช เรามีวิธีจัดการกับมันยังไงอยู่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันใครรู้ช่วยบอกที...... ท่านผู้ว่ากทม .....

Save Tree - การดาษผลิตจากเยื่อไม้ เยื่อไม้ได้จากไม้ คนจึงเชื่อกันว่าถ้า Recycleกระดาษที่ใช้แล้วเช่นหนังสือพิมพ์ จะเป็นการช่วยรักษา ต้นไม้ ทำให้มีอากาศหายใจ...... จริงๆแล้ว เยื่อไม้จากต้นไม้ที่นำใช้ในการผลิตกระดาษนั้น ได้มาจากต้นไม้ที่เขาปลูกมาเพื่อผลิตกระดาษโดยเฉพาะทำกันเป็น Farm ต้นไม้เพราะได้คุณภาพดีกว่าจะไปเอาเยื่อต้นไม้มั่วๆมาใช้(อ้าว..) ตัวอย่างบ้านเราก็โครงการ ปลูกต้นกระดาษAA ตามคันนาบ้านเรานั่นไง..... ส่วนต้นไม้ที่หายไปจากโลกปีละหลายๆล้านต้นมาจาก คนที่ตัดเอาไปทำเฟอร์นิเจอร์ หรือถางป่าทำพืชไร่ หรือสร้างที่อยู่มากกว่า.... เพราะฉนั้น..... การ Recycleกระดาษไม่ช่วย อนุรักษ์ต้นไม้แน่นอน ....

Save Money - การใช้ของ Recycle ไม่ได้ช่วยประหยัดเงินแน่นอนอย่าลืมว่า ของที่ Recycle มักจะคุณภาพแย่กว่า และมักจะแพงกว่า และค่าจ้างที่รัฐจ่ายให้พนักงานเก็บขยะที่มาขนขยะเราไป Recycle รัฐเอาเงินมาจากไหนก็เงินภาษี จากเราๆทั้งนั้น ....... แล้วมันประหยัดเงินเราตรงไหนเนี่ยะ ส่วนเรื่องบริษัทที่ผลิตวัตถุดิบ ก่อนจะนำไปแปรรูปก็ต้องจ่ายแพงกว่าปรกติ อีก ...... แล้วมัน ประหยัดเงินตรงไหนเนี่ยะ

Create A Job - เกิดการสร้างงาน จำนวนมาก แต่คนที่ได้รับผลประโยชน์ไม่ใช่เราๆท่านๆที่สร้างขยะกันอยู่ทุกวันแน่ๆ แต่เราสร้างงาน ให้คนที่ทำหน้าที่เก็บขยะ ขับรถขนขยะ แยกขยะ และคนที่หน้าที่ในโรงงาน Recycle มีงานและมีรายได้ เพราะฉนั้นหัวข้อนี้ผมว่ามันน่าจะเป็นเรื่องดี ........ แต่เคยได้ยินกันมั่งไหมว่า คนเก็บกวาดขยะตามท้องถนน รายได้วันละเป็น พัน ฿_฿......

ฮ่า ฮ่า ฮ่า คงสังเกตุได้ไม่ยากว่า ข้อมูลในแต่ละหัวข้อมันน้อยลงเรื่อยๆ จริงๆแล้วในรายการ ได้เสนอข้อมูลที่เราเข้าใจกันผิดๆเกี่ยวกับ Recycle ไว้ 7-8 ข้อ แต่ผมดันนึก ออก 5 เองแฮะ อีกอย่างเพราะรายการ โยงเรื่องกันไปมา อย่างงงนิดๆ คือ นำเสนอข้อมูลมาเยอะๆ แล้วแยกเป็นหัวข้อทีหลังแถมยังไม่เป็นระเบียบอีกต่างหาก ซึ่งต่างจากปรกติที่ควรจะเป็นที่ นำเสนอหัวข้อมาก่อนแล้วอธิบายเนื้อหาในข้อมูลนั้น .......... นี่แหล่ะ Bull Shit : Penn & Teller รายการที่นำเสนอข้อมูลสวาระอย่างเพี้ยนๆ.... -__-....... ดังที่กล่าวมาผมเลย ต้องมานั่งประมวลข้อมูลในหัวสมอง แยกประเภทเองอีกต่างหาก...... บวกกับระยะเวลาเป็นเดือนมาแล้วทำให้ข้อมูลลางเลือนไปบ้าง แหะ....แหะ........แหะ....

หลังจากที่ทนอ่านตัวหนังสือเป็นพรืดมาจนถึงตรงนี้ คิดบ้างหรือเปล่าว่า... "ไอ้หมอนี่ต่อต้านเรื่อง Recycle แหงๆ" ผมบอกได้เลยว่า ผมไม่ได้ต่อต้านการ Recycleอย่างยิ่ง หรือ เห็นด้วยอย่างสุดกู่ ...... ไม่ว่าจะเรื่องอะไร จะภาวะโลกร้อน จะ น้ำมันแพง ประหยัดไฟฟ้า ถุงฟ้า หรืออะไรผมก็ทำ....เท่าที่พอทำได้เท่านั้นแหล่ะ แค่ปรับมันให้เข้ากับการใช้ชีวิตประจำวันของผมโดยวิถีชีวิตไม่เปลี่ยน ....... ก็เท่านั้น
อย่างรถพลังงานไฟฟ้า ที่ช่วงหลายๆปีหลัง รถยี่ห้อดังๆทั้ง หลายพยายามผลิตกันออกมา ก่อนที่จะเกิดวิกฤต Hamburger เนี่ยะ ผมไม่เห็นว่ามันจะเป็นการประหยัดพลังงานตรงไหน แค่เปลี่ยนจากการใช้น้ำมันไปเป็นพลังงานไฟฟ้าเท่านั้นเอง.... ประหยัดค่าน้ำมันตอนช่วงน้ำมันแพง อาจจะใช่.....แล้วค่าไฟฟ้า จากการชาร์จไฟฟ้าให้รถจากบ้านมันเพิ่มมาในบิลตั้งเท่าไหร่ ผมเคยดูสารคดีทาง Discovery เขาเปรียบเทียบ การค่าใช้จ่ายพลังงานน้ำมันต่อพลังไฟฟ้า ผมจำตัวเลขที่ชัดเจนไม่ได้ แต่สรุปคือถ้าเราใช้รถไฟฟ้า จ่ายค่าไฟฟ้าแพงกว่าจ่ายค่าน้ำมันแน่นอน ด้านความเร็วของรถอย่าไปพูดถึงมันแล้วกัน......... ส่วนเรื่องมันดีกว่าสิ่งแวดล้อมนั้น ......เอ่อ ..... เราผลิตกระแสไฟฟ้ามากจากอะไรมั่ง....... หลักๆใหญ่ๆก็ เขื่อนกันน้ำ โรงงานไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ และ โรงงานไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ(น้ำมัน แก๊ส ถ่านหิน ฯลฯ) นอกจากอันแรก ........ มันดีต่อสิ่งแวดล้อมไหมนี่......

ขอบคุณถ้ายังมีคนทนอ่านมาจนถึงตรงนี้ ข้อมูล 95% นั้นมาจากรายการ Bull Shit : Penn & Teller ซึ่งเป็นรายการของทาง USA ข้อมูลทั้งหมดมาจากการวิจัยของทาง USA ล้วนๆ เพราะฉนั้น อาจจะใช้กับเมืองไทยเราไม่ได้เลยก็ได้ -___________- เขียนมาทำไมตั้งยาว................. นั่นสินะ ....... เอาเป็นว่าอ่านเล่นๆเพลินแล้วกัน (^_^)b(อีก5%มาจากความรู้ทั่วไปในสมองอันกระจ๊อยร๊อย ของผม)
แถมข้อมูลเล็กน้อย .....USA ผลิตขยะ ปีละ 220 ตัน ........ หลุมฝังขยะ กว้าง 35x35ไมล์ ลึกเท่าไหร่จำไม่ได้ แต่เพียงพอจะ ใช้ฝังขยะให้ USA ได้ 1000 ปี ..... เอ่อ...ไม่รวมขยะ อิเล๊คโทรนิคมั้ง .......

-----------------------------------------------------------------------------------

ความเห้นส่วนตัวของผม : ผมเองก็ดูรายการนี้ทางช่อง True X-Zyte เช่นกัน เรื่องนี้ผมไม่ได้ดู แต่ผมค่อนข้างที่จะเห็นด้วยครับ ว่าการ recycle อาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีนักในการจัดการกับขยะทุกประเภท และเผลอๆก่อมลพิษและใช้ค่าใช้จ่ายมากกว่าการผลิตใหม่เสียอีก รวมถึงคุณภาพของวัสดุที่ผลิตจากการ recycle ก็แย่ลงอีก มันเคยเกิดขึ้นแล้วกับรถยนต์ Mercedes-Benz รหัสตัวถัง W-124 (ก็เจ้า E-class โลงจำปานั่นแหล่ะ) ที่มีปัญหาว่าสายไฟของระบบต่างๆไม่ทนเท่าที่ควรเพราะใช้วัสดุrecycle

กับเรื่องที่ผู้เขียนบทความพูดถึงเรื่อง รถยนต์ไฟฟ้า อาจจะไม่ได้ช่วยโลกอย่างที่คิด ผมก้เห้นด้วย และผมก็คิดแบบนี้ก่อนจะมาเจอบทความนี้ซะอีก เพราะโอเค ตัวรถใช้ไฟฟ้าขับเคลื่อน แต่ไฟฟ้าที่ใช้ชาร์จหล่ะ ก็มาจากการเผาถ่านหินหรือเชื้อเพลิงปิโตรเลียมประเภทอื่นอยู่ดี แล้วชิ้นส่วนจำพวก แบ็ตเตอรี่ในรถยนต์ไฟฟ้า อันเป็นแหล่งพลังงานขับเคลื่อนหลักนั้น มันก็ต้องมีการเสื่อมสภาพ กลายเป็นขยะอันตรายอีก (ต่อให้เป้นแบ็ตเตอรรี่ Li-on ก็เถอะ) ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนมันก็สูงใช่เล่น รวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆที่จะตามมาอีก และอีกนานครับ กว่ารถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้าแบบเพียวๆจะมีศักยภาพเทียบเท่ารถยนต์ใช้น้ำมันในทุกๆด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รถทื่ต้องใช้กำลังอย่างรถบรรทุก

ดูเหมือนว่าบางครั้ง สิ่งที่ดูดีดูเริศและน่าเชื่อถือ เป้นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป้นสิ่งที่ดูเหมือนว่าทำเพราะความหวังดี อาจจะไม่ดีอย่างที่คิดก็ได้ และผมว่าแค่เราไม่ใช้มันอย่างฟุ่มเฟือยจนเกินไป เท่านี้ก็ช่วยดลกได้มากแล้วครับ

วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Ford Fiesta และแล้ว เราก็จะได้ใช้รถ hatchback ขนาดกระทัดรัดสัญชาติฝรั่งเสียที













จากรูปไม่ต้องสงสัยว่าทำไม่มีป้าๆน้าๆ ยืนถ่ายรูปคู่กับ ซับคอมแพกต์รุ่นใหม่ของฟอร์ดกันเต็มหมด นั่นเพราะ 2 สัปดาห์ก่อน ฟอร์ด ประเทศไทย นำโดย สาโรช เกียรติเฟื่องฟู รองประธานอาวุโส จัดรอบพรีวิวให้พนักงานบริษัทร่วม 200 คนได้สัมผัสและทำความเข้าใจถึงโปรดักต์ใหม่ ที่เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ในอนาคต

สำหรับเฟียสต้าคันที่เห็นในรูปเป็นการนำเข้ามาจากโรงงานในยุโรป (โรงงานเอเอที ระยอง ยังไม่ได้ขึ้นไลน์ผลิต) กับตัวถังแฮทซ์แบ็ก 5 ประตู และคาดว่าจะเป็นรูปลักษณ์เดียวกับตัวขายจริง พร้อมวางเครื่องยนต์เบนซินดูราเทคขนาด 1.4 ลิตร 95 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 128 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

คุณอยู่กับ ชุมชนเสมือนจริงบนโลกอินเตอร์เน็ต มาแล้วกี่แห่ง

10 ปีแล้วที่สิ่งที่เรียกว่า internet เข้ามาในชีวิตผม แต่มีแค่ 5 ปีหลัง ที่ผมอยู่กับสิ่งที่เรียกว่า ชุมชนเสมือนจริง หรือ เว็บบอร์ด ไม่ว่าจะที่นี่ หรือ ที่อื่น ในฐานะแค่ สมาชิกธรรมดา ธรรมดา คนหนึ่ง

และ แทบทุกที่ ผมก็ใช้ username เดิมทั้งนั้น ไม่มีแปรเปลี่ยน และใช้ e-mail เดิมในการสมัครสมาชิก เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน ผมเคยลองมาค้นหาดูเล่นๆว่า ผมไปอยู่ในชุมชนเสมือนจริงนี้มาแล้วกี่แห่ง

เอยะเลยครับ นับโดยรวมแล้วได้ประมาณ 18 เว็บบอร์ด เป็นเว็บบอร์ดของไทย 14 แห่ง และของต่างชาติที่เป็นภาษาอังกฤษ 4 แห่ง

มีแต่เว็บบอร์ดของฝรั่งนี่แหล่ะ ที่ไม่ได้ใช้ชื่อ GOODMAN เช่นที่ www.briansbelly.com

บางที่เพิ่งได้เข้าไป update แก้ไขข้อมูลส่วนตัวใหม่ เพราะหลายที่ข้อมูลสถานะทางอาชีพยังเป็น นักศึกษา อยู่เลย

จำนวนโพสที่อยู่ใน ชุมชนเสมือนจริงเหล่านั้นที่ผมไปอยุ่ ก็ไม่ได้มากมายอะไร น้อยกว่าที่นี่เยอะ

ผมเคยมาลองพิมพ์ e-mail address ลงไปใน google แล้วสั่งค้นหา โอ้โห บานเลยครับ ข้อมูลมีเพียบเลยว่าผมเคยไปอยุ่เว็บบอร์ดไหนมาบ้าง

แต่เว็บบอร์ดที่เป้นที่จดจำในอันดับต้นๆที่หนึ่งที่ผมเคยไปสัมผัส คือ เว็บบอร์ดของรายการ Plsy Crash ช่อง G-Square

ประมาณ 50% ของกระทู้ที่ผมไปตั้งไว้ที่นั่น จะมีบุคคลที่ชื่อ เซียนอ๊อตโตะ มาตอบกระทู้ผมอย่างเป้นกันเองพอควรในสิ่งที่ผมอยากรู้และนำเสนอ อายุเขาก็น่าจะรประมาณ 30 แล้ว เขาคือบุคคลที่อยู่คู่กับช่อง G-Square มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง เป้นพิธีกรหลายรายการมากในช่องนี้ แถมยังเล่นเกมเก่งสมกับมีคำนำหน้าว่า เซียน

และที่เด็ดกว่านั้น กระทุ้ผม ถูกคัดเลือกมาอ่านออกรายการ ให้ผู้ชมเป็นร้อยได้รับทราบ แน่นอนครับ ชื่อ GOODMAN ของผม ก็ถูกอ่านออกอากาศด้วย กระทุ้ผมถูกอ่านออกอากาศถึง 3 ครั้ง แต่ครั้งล่าสุดคือเมื่อ 1 เดือน ที่แล้ว กระทู้ผมที่ถูกนำไปออกอากาศได้สร้างตำนาน มุขclassic มุขหนึ่งขึ้นมา มุขที่ทำให้เซียนอ๊อตโตะ โดนพิธีกรร่วมอีก 3 คน ล้อเรื่องชื่อจริงของเซียนมาจนถึงตอนนี้ คือ ผมดันไปทักทายเซียนด้วยการนำเอาชื่อจริงเขามาทักทาย และไม่คิดว่ากระทู้นั้นจะได้รับการนำมาอ่านออกอากาศ

แล้วหลังจากนั้น การเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้น ตั้งแต่ในรายการ ยันในเว็บบอร์ด หลายคนที่เขามาตั้งกระทู้ เริ่มเรียกชื่อจริงๆของเซียน แทนที่จะเรียกว่า เซียนอ๊อตโตะ เริ่มมีการขุดชื่อจริงของพิธีกรทั้ง 3 มาล้อกัน แถมมีอยุเทปหนึ่งเมื่อ 2 อาทิตย์ที่แล้ว ที่ทีมงานฝ่ายตัดต่อ เล่นเอาชื่อจริงของเซียน มาใส่ไว้ใต้ชื่อ Otto ตอนเปิดรายการ ให้ตายเถอะจอร์จ นี่ชื่อเรากลายเป้นที่จดจำและกลายเป้นต้นตอมุขใหม่ของรายการไปเลยหรือเนี่ย

แถม ยังมีอยู่เทปหนึ่ง ที่เซียนอ๊อตโตะ ออกมากล่าวเรื่องที่มีแฟนๆรายการหลายคน โทรมาเรียร้องให้ปรับเวลามาเป็น 1 ชั่วโมงตามเดิม เซียนอ๊อตโตะ ก็กล่าวชื่อแฟนรายการทั้งสามคนที่โทรเข้ามา แล้วยังไม่ทันที่เขาจะกล่าวชื่อที่สามโดยพูดค้างอยู่ที่คำว่า "น้อง..." หนึ่งในพิธีกรที่ชื่อ แก่ง ก็พูดขึ้นมาว่า " GOODMAN " แหม ชื่อผมเข้าไปอยู่ในความทรงจำของพิธีกรคนนี้ซะแล้ว

เรื่องชื่อมผถูกอ่านออกอากาศนี่ น้องหย๋ายืนยันได้เลย เพราะน้องหย๋าคือแฟนรายการนี้เช่นกัน

ถ้าไม่นับที่นี่ ก็มี เว็บบอร์ดของ Play Crash นี่แหล่ะ ที่ผมเข้าไปบ่อยที่สุด ส่วนที่อื่นๆก็ เข้าไปพอแค่หอมปากหอมคอ ไปเก็บข้อมูลที่อยากรุ้จริงๆ โพสเรื่องที่อยากถามอยากนำเสนอเพียงไม่กี่อย่าง

ตอนแรกกะจะไปสมัคร GJ search กับทางช่องนี้ แต่แหม เรื่องเกมก็รู้แค่ไม่กี่เกม ให้คนอื่นไปทำดีกว่า

บังเอิญที่นั่น ไม่มีฟังก์ชั่นลงรูป หรือ บอร์ดแยกสำหรับพูดเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับรายการ

ที่นั่นมีคนไปโพสไว้เยอะสุดๆ กระทู้เอยะซะจน เวลาจะเข้าไปในบอร์ดต้องรอพอควร เพราะข้อมูลเอยะ ทำให้กอนกำลังในการโหลดข้อมูล

ตอนนี้ก็ยังจับตาดูอยู่ว่า ทีมงานที่นั่น จะนึกสนุกเอาสิ่งที่ผมเขียนไปอ่านออกอากาศอีกมั๊ย แต่ เซียนอ๊อตโตะ ก็ยังแวะมาตอบอยุ่บ้างแม้จะไม่ทุกกระทู้ ทั้งที่เซียนเขาก็ดูท่าว่าจะมีงานเยอะมาก แต่ยังมีเวลามาอ่านมาตอบกระทุ้แฟนๆรายการด้วย

แหม ไอ้สิ่งที่เรียกว่า อินเตอร์เน็ตนี่ มันดีจริงๆ ทั้งข้อมูลทำรายงาน/การบ้าน หนังคูณ มิวสิควีดีโอ รูปภาพดารา ประวัติคนดัง ส่งตรงเข้ามถึงหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่บ้านท่าน และในยุคที่ไม่มีอินเตอร์เน็ต การจะแสดงความเห็นของตัวเองให้คนหมู่มากรับรู้ เป้นเรื่องที่ยาก กินเวลานาน อาจจะต้องใช้เงินพอควร แต่พอมีอินเตอร์เน็ต สิ่งเหล่นี้ก็ทำได้ง่ายสุดๆ

และสิ่งที่เรียกว่า อินเตอร์เน็ต ก็ทำให้ผมได้รุ้ว่า มีผู้คนอีกมากมายนับร้อยนับพันคน ทั้งในไทยและในต่างประเทศ ที่มี รสยิยมบางประการ เหมือนกับผม นึกถึงประโยคในโฆษณาของ IBM นานมาแล้วที่ว่า "แค่เสียบปลั๊ก โลกทั้งใบ จะเป็นของคุณ"

และคนที่ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า internet ขึ้นมา ก็คือ กระทรวงกลาโหมของ usa นี่แหล่ะ ในช่วงยุค 80 ที่มีการพยายามเชื่อมต่อการสื่อสารของเครือข่ายฐานทัพ usa ทั่วโลกให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด internet ถูกสร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์นี้ ก่อนที่พัฒนามาเพื่อประชาชน อย่างผม และทุกคนในโลกนี้

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552

ครบรอบ 8 ปี วินาศกรรม 11 กันยายน





วันนี้เมื่อ 8 ปีที่แล้วตอนเช้าก่อนเวลาทำงานในอเมริกา มีโศกนาฏกรรมทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 3,017 บาดเจ็บมากกว่า 6,291 คน

เมื่อต้นปี 2007 ที่ได้ดูข่าว การประหารชีวิต ซัดดัม ฮุสเซ็น รู้สึกสะใจมาก เหม็นขี้หน้าไอ้เวรนี่ กับคนของมันที่ล้างสมองประชาชนแบบผิดๆมาตั้งแต่สมัยไหนแล้ว และขอให้ไอ้เวรตัวการก่อวินาศกรรมครั้งนี้ รวมถึงผู้ประสงค์ร้ายต่อสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆในลักษณะเดียวกัน จงพบแต่กับความชิบหายวายป่วง และสมควรแล้วที่พวกมันจะตาย เพราะกระสุนปืนจากทหารอเมริกันรวมถึงลูกระเบิดที่ถูกทิ้งจากเครื่องบินรบของชาติอเมริกันด้วย

ขอไว้อาลัยให้กับความสูญเสียในวันที่มี "เลขเก้า" เข้าไปเกี่ยวข้องอีกวันนึง

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

Thairetrogame เว็บไซต์สำหรับผู้รักในวีดีโอเกมส์ยุคเก่า



www.thairetrogame.com

ไมว่าจะ console game, เกมพกพา, เกมคอมพิวเตอร์ ไล่มาจากอดีคคั้งแต่พวก Famicom, Megadrive, Gameboy ยุคแรกที่เป็นจอภาพขาวดำ จนมาถึงยุคปัจจุบันอย่างเครื่องแบบ next gen. อย่าง Wii, PS3, XBOX 360 ที่เราคุ้นตากันในปัจจุบัน มีบทความจากผู้สันทัดในเรื่องนี้มากมาย แทบจะเรียกได้ว่าเป็น encyclopediaของเกมยุคเก่าเลยก็ว่าได้ เว็บบอร์ดให้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและถามปัญหามีอะไรดีๆให้ดูเยอะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Business International ที่ล้มเหลวเพราะ"วัฒนธรรม"และ"การสำรวจข้อมูลที่บกพร่อง"







ตัวอย่างสินค้าแบรนด์ดังที่หลายคนคุ้นเคย ที่ดันมา ตกม้าตาย เพราะประเด็นเรื่อง ความแตกต่างด้านวัฒนธรรม การสำรวจข้อมูลก่อนทำตลาดที่บกพร่อง รวมถึง ความอ่อนแอในเรื่องการประชาสัมพันธ์สินค้า

-บัตรอวยพรยี่ห้อ Hallmark ซึ่งหลายคนจะเห็นว่าบัตรอวยพรยี่ห้อนี้จะมีข้อดีอย่างหนึ่งคือ ลูกค้าไม่ต้องคิดหาคำต่างๆมาเขียนเลย เพราะ Hallmark ได้พิมพ์คำอวยพรเก๋ๆไว้ในบัตรอยู่แล้ว บัตรอวยพรยี่ห้อ Hallmark เป็นที่นิยมมากในหลายๆประเทศทั่วโลก ยกเว้นประเทศฝรั่งเศส บัตรอวยพรของ Hallmark เลยขายไม่ออกเลย เพราะว่าคนฝรั่งเศสนิยมเขียนคำอวยพรในการ์ดด้วยตัวเองมากกว่า ทำให้ Hallmark ต้องออกจากตลาดฝรั่งเศสไปเลยหลังจากที่วางขายเพียงแค่ไม่กี่เดือน

-MTV บุกตลาดอินเดียด้วยการพยายามเปิดมิวสิควีดีโอเพลงแนว ร็อค ป๊อบ แร็พแบบตะวันตกเพื่อหวังที่จะเผยแพร่วัฒนธรรมป๊อบ (Pop culture) ให้กับวัยรุ่นชาวอินเดีย แต่กลับไม่ได้รับความนิยมเลย ทาง MTV จึงต้องยอมเปิดเพลงอินเดียเพื่อเอาใจผู้ชมชาวอินเดียแทน

-บริษัท General Motor ออกรถยนต์รุ่นหนึ่งที่ชื่อ Chevrolet Nova แต่ในอเมริกาใต้ รถยนต์รุ่นนี้ขายไม่ออก จนต้องเปลี่ยนชื่อใหม่ เพราะ คำว่า Nova ไปพ้องเสียงกับคำว่า no va ในภาษาสเปน ที่แปลว่า doesn't go หรือ วิ่งไม่ออก

-บริษัทผู้ผลิตเครื่องดูดฝุ่นยี่ห้อ Electrolux ซึ่งเป็นบริษัทของกลุ่มประเทศสแกนดีเนเวียนใช้สโลแกนว่า Nothing sucks like Electrolux ซึ่งบริษัทต้องการจะบอกว่าไม่มีอะไรที่ดูดฝุ่นได้ดีเหมือนกับ Electrolux อีกแล้ว แต่หารู้ไม่ว่า คำว่า suck มีอีกความหมายหนึ่งสำหรับชาวอเมริกัน แปลว่า ห่วย แย่ ดังนั้น สโลแกนนี้จึงแปลได้อีกอย่างว่า “ไม่มีอะไรห่วยเหมือน Electrolux อีกแล้ว”

-Kellogg’s ในประเทศอินเดียแทบจะไม่เป็นที่นิยมเลย เพราะวัฒนธรรมของชาวอินเดียจะชอบทานผักต้มร้อนๆในตอนเช้ากันมาก แต่ถึงแม้ว่าในตอนทดสอบตลาด ชาวอินเดียจะชื่นชอบในรสชาติของ Kellogg’s ก็จริง แต่ตั้งราคาไว้สูงเกินไป จึงทำให้ได้ลูกค้าจำกัดเฉพาะกลุ่มคนที่อยู่ในตัวเมืองกับคนที่มีฐานะเท่านั้น

-นิตยสารชื่อดัง Time ที่ตีพิมพ์ในหลายประเทศทั่วโลก ทางบริษัทได้ตัดสินใจจะเจาะตลาดในประเทศบราซิล โดยทำโฆษราเป็นภาษาสเปน แต่โฆษณาประสบความล้มเหลวในการเข้าถึงลูกค้าใหม่ เพราะ ชาวบราซิลใช้ภาษาโปรตุเกส ไม่ใช่ภาษาสเปน

- Supermarket แห่งหนึ่งใน USA ต้องการสร้างความประทับใจแก่ชาวญี่ปุ่นผู้มาเยือนกลุ่มหนึ่ง โดยเสิร์ฟซุชิที่ปรุงจนสุก แต่ผู้มาเยือนทั้งหมดดูไม่พอใจเท่าไหร่ เพราะ ซูชิ ต้องเสิร์ฟดิบ (raw) ไม่ใช่ปรุงสุก (cooked)

-เมื่อบริษัทสายการบิน United Airlines เริ่มเปิดเส้นทางบินไปฮ่องกง พวกเขาให้ ดอกคาเนชั่นสีขาว เป้นของสมนาคุณลูกค้าที่ใช้บริการ แต่ผู้โดยสารส่วนใหญ่ไม่รับของสมนาคุณนี้ เพราะ ดอกคาเนชั่นสีขาว เป็นสัญลักษณ์ของความตายและโชคร้าย ในหลายๆส่วนของประเทศแถบเอเชีย ทางสายการบินเลยต้องเปลี่ยนเป็น ดอกคาเนชั่นสีแดง แทน

-บริษัทผลิตเครื่องแก้วแห่งหนึ่งในประเทศไต้หวัน บรรจุสินค้าของตัวเองโดยใช้ ฟาง เป็นตัวกันกระแทกในกล่องบรรจุภัณฑ์ ซึ่งก็ใช้มาแต่ไหนแต่ไรโดยไม่มีปัญหาอะไรและสินค้าก็ถึงที่หมายดดยไม่เสียหาย แค่พอส่งไปประเทศแถบตะวันออกกลาง เครื่องแก้วที่ส่งไปอยู่ในสภาพใกล้แตกเกือบทั้งหมด เพราะ สภาพอากาศในประเทศแถบตะวันออกกลางแห้งกว่าประเทศไต้หวัน ฟางเลยแห้งมากกว่าเดิมและบางลงกว่าเดิม เครื่องแก้วที่บรรจุไว้เลยไม่ได้รับการป้องกันอย่างที่ควรจะเป็น

-บริษัทอาหาร fastfood ชื่อดังอย่าง McDonald's จัดรายการส่งเสริมการขายช่วงมหกรรมกีฬา Olympic ในปี 1984 ที่จัดขึ้นที่เมือง Los Angelis โดยมีรายละเอียดว่า ทางร้านจะเสนอรางวัลให้ลูกค้าถ้านักกีฬาชาวสหรัฐฯคนใดก้ตามชนะเหรียญ ปัญหาเกิดขึ้นจากการคำนวณผิดพลาดและงบประมาณของรายการส่งเสริมการขายเกิดบานปลาย เพราะ ประเทศในแถบตะวันออก ได้ทำการ boycotted ไม่เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ ทำให้นักกีฬาชาวสหรับฯชนะได้เหรียญมามากกว่าที่ทางบริษัทคำนวณไว้

- Magnavox ได้ออกเครื่องเล่นวีดีโอเกมแบบต่อเข้ากับโทรทัศน์เครื่องแรกของโลกในปี 1972 ที่ชื่อ Odyssey มันเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นและกระตุ้นอุตสาหกรรมความบันเทิงเกี่ยวกับอิเล็กโทรนิค แต่มันกลับไม่ประสบความสำเร็จ เพราะ การประชาสัมพันธ์ของตัวแทนจำหน่ายที่อ่อนแอ ทำให้ผู้บริโภคหลายคนเชื่อว่าเครื่องเล่นเกมนี้สามารถเล่นได้กับเฉพาะเครื่องรับโทรทัศน์ของ Magnavox เท่านั้น

- Mitsubishi Pajero รถ 4 WD SUV ที่คนไทยและญี่ปุ่น รู้จักกันอย่างดีและได้รับความนิยมไม่น้อย แต่ในประเทศสเปน ชื่อนี้กลับชวนแสลงหูและชวนตลกซะงั้น เพราะ คำว่า Pajero ดันไปพ้องเสียงกับคำที่แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า masturbrate

-บริษัทยาสีฟัน Colgate เคยออกยาสีฟันที่มีชื่อว่า Clue ออกมาทำตลาดในประเทศฝรั่งเศษ แต่กลับกลายเป็นชื่อที่ขบขัน เพราะ มันดันไปชื่อเหมือนกับนิตยสารสำหรับผู้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยภาพผู้หญิงนุ่งผ้าน้อยชิ้น ที่ชื่อ Clue (สงสัยเป็นยาสีฟันสำหรับ playboy มั๊ง)

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ขี่ม้าแทนขับรถยนต์เมื่อน้ำมันแพง....คิดดีแล้วหรือว่าประหยัดและสบายกว่า

ตอนนี้รู้สึกว่า น้ำมันเริ่มขึ้นราคามานิดหน่อยแล้วตอนที่ขับรถยนต์ไปเติมเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา แต่ดูท่าว่ายังไม่มีเสียงบ่นใดๆ คงเพราะไม่ได้แพงบ้าเลือดแบบช่วงปีที่แล้ว (หรือคนไทยเริ่มชาชินกันแล้ว?) แต่ตอนที่น้ำมันแพงแบบบ้าเลือด ลิตรละ 44 บาท คือช่วงที่เต็มไปด้วยสารพัดมุขตลกเอาไว้บ่นเรื่องน้ำมันแพง โดยเฉพาะใน การ์ตูนรายสัปดาห์ชื่อดังเล่มละ15บาท ของ สำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่ เจ้าหนึ่ง (ที่นับวันการ์ตูนรายนี้เริ่มไร้ความเป็นกลางในการนำเสนอเนื้อหา และห่างไกลคำว่า"การ์ตูนที่เหมาะสมสำหรับทุกเพศทุกวัย" เข้าไปทุกที) มีมุขเกี่ยวกับน้ำมันแพงมุขหนึ่ง ที่เป็นภาพของท้องถนนในกรุงเทพฯ แต่ฝูงรถมอเตอร์ไซต์ถูกแทนที่ด้วยม้า รถเมล์ถูกแทนที่ด้วยช้าง(แล้วมีคำว่า ขสมก แปะด้านข้าง) แล้วรู้สึกว่าเคยมีนิตยสารอะไรสักอย่างนี่แหล่ะ เอามุขนี้ไปใช้ทำเป็นหน้าปก แล้วเท่าที่ความทรงจำผมยังมี เคยได้ยินว่ามีคนบ่นว่า น้ำมันแพงแบบนี้ ขี่ม้าขี่วัวขี่ควายแทนขับรถดีกว่ามั๊ง

แต่เท่าที่ผมนึกดูอีกที มันประหยัดกว่าและสบายกว่าจริงเหรอครับ ด้วยเหตุผลที่ว่า

-รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ไม่ได้ขับขี่ไปไหน น้ำมันมันก็ยังอยู่ในถัง (ถ้าไม่มีการรั่วซึมหรือมีใครมาแอบเปิดถังแล้วขโมยไป) แต่ช้าง ม้า วัว ควาย อยู่เฉยๆไม่ได้ใช้งาน มันก็ยังต้องกิน แน่อนว่าค่าของกินของสัตว์เหล่านี้ อาจจะต้องใช้เงินซื้อหามาอีกเช่นกัน

-น้ำมันสำหรับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ หาง่ายกว่าหญ้าสดสำหรับม้า วัว ควาย ทุ่งหญ้ากว้างๆที่เห้นอยู่ข้างทางไม่ใช่ว่าอยู่ๆจะไปใช้ประโยชน์ได้สุ่มสี่สุ่มห้าตามใจเรา ส่วนใหญ่เป็นที่มีเจ้าของ ซึ่งถ้าเข้าไปใช้โดยพละกาลนี่ มีปัญหาตามาภายหลังแน่ๆ หย้าสดซื้อเองก็แน่อนว่าต้องใช้เงินเราอีก ที่ซื้อก็คงหายากกว่าหาปั๊มน้ำมันแน่ๆ

-รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ไม่ได้ใช้งานนานๆมันก็แทบไม่ต้องเปลืองค่าบำรุงรักษาใดๆ แต่ต้องเก้บรักาาอย่างถูกวิธี เช่น ถ้าไม่ได้ใช้รถนานๆ ก็ถอดสายแบ็ตเตอรี่ออก จอดเก็บคลุมผ้าในที่ที่ไม่โดนสภาพอากาศแย่ๆ หรือถ้านานมากๆ ก็อาจจะต้องขึ้นแม่แรงล้อทั้ง4ให้ยางอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย เพื่อลดเวลาการเสื่อมของยาง แต่ช้าง ม้า วัว ควาย ต้องพึ่งพาสัตวแพทย์เพราะมันเป็นสิ่งมีชีวิต ผมว่าถ้าสัตว์เหล่านี้เจ็บป่วยที ค่าหมอค่ายาก็คงไม่ใช่เล็กๆแน่ (แม้ไม่ใช้งาน มันก็มีโอกาสเจ็บป่วยเช่นกัน)

-ใช้พื้นที่ไม่มากนักในการเป็นที่จอดรถยนต์และจักรยานยนต์ แต่สำหรับสัตวือย่างม้า วัว ควาย ต้องมีที่ใหญ่กว่าที่จิดรถพอสมควรให้มันอยู่อาศัย เกิดใครที่อยู่ทาวน์เฮาส์หรือที่อยู่อาศัยประเภทตึกสูงขึ้นมาหล่ะ ลำบากแน่ ไหนจะต้องพามันไปเดินเล่นอีกในบางเวลา แล้วตามประสาของสัตว์ ที่มันต้องร้องตามธรรมชาติของมันแม้ในยามค่ำคืน ซึ่งเมื่อมันอยุ่ในทุ่งก้ไม่เป้นไร แต่เมื่ออยุ่ในเมืองหรือที่ที่มีคนอยู่อาสัย กลายเป็นความหนวกหูขึ้นมาทันที โดยเฉพาะถ้ามันอยู่กันหลายๆคัว

-และเมื่อสัตว์เหล่านั้นกิน มันย่อมต้องขับถ่าย ก็ต้องมาลำบากเก็บกวาดมันอีกหล่ะ แล้วยิ่งเดิที่อยู่อาศัยของคุณเป็นที่ที่มีคนอยุ่เยอะแบบบ้านจัดสรร ทาวน์เฮาส์ กลิ่นเหม็นของอุจจาระสัตว์เหล่านั้นอาจะกลายเป็นประเด็นความขัดแย้งของคุณกับเพื่อนบ้านข้างๆ หรือทั้งละแวกบ้านเลยก็ได้ แค่สุนัขที่เราเลี้ยงกันทั่วไป ก็สร้างปัญหาแบบนี้มานักต่อนักแปล้ว ในบ้านจัดสรรหลายที่ หมู่บ้านจัดสรรบางแห่งที่มีสวนสาธารณะ ถึงกับต้องประกาศเลยว่า ห้ามนำสุนัขมาถ่ายอุจาระในบริเวณนี้
แล้วลองนึกภาพบนท้องถนนที่เต็มไปด้วยช้าง ม้า วัว ควาย (แทนที่รถยนต์) แล้วเกิดมันถ่ายกลางถนนขึ้นมา เหม็นกันน่ะสิครับ ทั้งคนที่ขี่สัตว์เหล่านั้น คนเดินถนนคนอื่นก็พลอนซวยเพราะเหม็นไม่พอ ต้องระวังไปเผลอเหยียบมันอีกเวลาเดินข้ามถนน พนักงานเทศบาลได้บ่นเพิ่มขึ้นอีกเพราะแค่ลำพังขยะธรรมดาที่ต้องจัดการในแต่ละวันก็ลำบากพอแรงแล้ว แน่ยังจะมีอุจจาระจากสัตว์เหล่านี้มาเพิ่มภาระอีก แล้วทางรัฐบาลอาจจะออกกฎหมายเก็บภาษีเพิ่มขึ้นอีกสำหรับผู้ที่ใช้สัตว์เหล่านี้แทนรถยนต์ เพื่อนำไปเป้นค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาดสิ่งปฏิกูลที่สัตว์เหล่านีเปล่อยออกมาบ่นถนนสาธารณะ

เคยมีอาจารย์มหาวิทยาลัยท่านหนึ่งในเชียงใหม่ ใช้วิธีขี่ม้าไปทำงาน โอเคครับ เขาทำได้เพราะเขามีบ้านเป็นทุ่งหญ้าโล่งที่เอื้ออำนวยอยุ่แล้ว กับสารพัดปัจจัยทางกายภาพที่เอื้ออำนวยให้ทำแบบนั้นได้ แต่อย่างพวกเรานี่ จะกลายเป็นแต่ปัญหาและภาระสถานเดียว แถมไม่คุ้มด้วย

ถึงหลายคนจะอยู่ในกรุงเทพฯ แต่ก็อย่างที่รู้ว่า รถไฟลอยฟ้าและรถไฟใต้ดิน มันก็ไม่ได้ครอบคลุมไปซะทุกจุด ขนส่งมวลชนหลายอย่างก็ยังขลุกขลักทั้งในด้านความสะดวก ความสะอาด ความปลอดภัย หลายคนก็มีบ้านอยู่ในจุดที่ห่างไกลขนส่งมวลชนอีก บางคนก็มีสภาวะปัจจัยทางกายภาพบางประการ ที่ต้องใช่รถยนต์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แม้น้ำมันจะแพงก็ตาม

ผมก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำมันแพง แต่ไม่เคยบ่น ไม่ว่าจะบ่นด้วยปาก ด้วยการส่งSMSไปตามรายการทีวี หรือโดยการตั้งกระทู้ (ที่ต้องให้ตั้งครบ1ล้านกระทู้ มันก็ไม่ได้ทำให้น้ำมันถูกลงได้แม้แต่สตางค์เดียว) ที่ไม่บ่นไม่ใช่เพราะว่ารวยหรือมีเงินเหลือเฟือ (ถ้ารวย ป่านนี้คงนั่งเครื่องบินชั้น first class ไปซื้อเลโก้ราคาถูกที่สหรัฐอเมริกาแล้วครับ ไม่ก็ไปซื้อที่พารากอน โดยไม่ต้องสนว่าจะมีส่วนลดหรือเปล่า และแน่นอนว่ายานพาหนะที่ใช้ในการเดินทาง คงเป็น Porsche Cayenne ที่มีชื่อผมเป็นเจ้าของ) แต่เป็นเพราะเราควรจะปรับตัวในเรื่องการใช้น้ำมันมากกว่า เช่น วางแผนก่อนเดินทาง ไม่ใช้รถพร่ำเพรื่อ ตรวจเช็ดสภาพเครื่องยนต์เพื่อการประหยัดน้ำมัน หนัมาใช้พลังงานทางเลือก (เหลือเชื่อที่ มอเตอร์ไซต์ yamaha ที่แสนเก่าคันที่ผมขี่อยู่ประจำ จะสามารถเติม E-20 ได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆ) ลดค่าใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยบางประการลง เท่านี้เราก็ประหยัดได้ไม่น้อยแล้วหล่ะครับ

หรือไม่ก็ มอเตอร์ไซต์ไฟฟ้า สิครับ ประหยัดสุดๆ ก็เลือกอันที่มันดีๆหน่อยแล้วกัน บางรุ่นก็สามารถจดทะเบียนได้แบบรถปกติเพราะกำลังมอเตอร์ไฟฟ้าของมันนั้น มีพละกำลังความเร็วที่ขับเคลื่อนออกมาเร็วเทียบเท่ารถมอเตอร์ไซต์เลย ผมเคยลองใช้มาแล้ว แต่พังไปนานแล้ว เพราะเป็นรุ่นที่นำเข้ามาใหม่ๆ ทำจากประเทศจีน เลยไม่ทนเท่าที่ควร ตอนนี้เหลือแต่โครงรถกับพ่อผมำด้จัดการงัดเอาแบ็ตเตอรี่ออกมา แล้วจัดการดัดแปลงรถจักรยานธรรมดาที่มีอยู่ ให้เป็นรถจักรยานไฟฟ้า โดยใช้แบต้เตอรี่ตัวเก่าจากมอเตอร์ไซต์ไฟฟ้าที่พังไปนานแล้ว

ตอนนี้ก็ใช้รถใช้รถใช้น้ำมันตามปกติ แต่เติมแต่ แก๊สโซฮอลล์ สถานเดียว

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552

29 เรื่องเข้าใจผิดของผู้ใช้รถยนต์

หลังจากเอาเรื่องด้านไม่พึงประสงค์ของรถที่ไม่ใช่รถเก๋งมาลง และได้รับการตอบรับที่ ดีเหลือเกิน คราวนี้ก็เอาซะอีกหนึ่งเรื่อง ในฐานะคนที่อ่านนิตยสารรถยนต์ทั้งของไทยและต่างประเทศมาตั้งแต่อายุ 13ปี บทความนี้ ก็มาจขากนิตยสารเดียวกันกับเรื่องแรกที่ผมนำมาลงนั่นแหล่ะ แต่ต้นตอที่ไปเจอนั้นอยู่ที่เว็บบอร์ดอื่น ผมโดนถล่มโดนแย้งจากเรื่องรถอันเป็นเรื่องที่ตัวเองสนใจจนชินแล้วหล่ะ

http://www.radompon.com/webboard/index.php?topic=577.0

การใช้รถอย่างถูกต้อง และดูแลรักษาอย่างถูกวิธีช่วยให้ประหยัดและยืดอายุการใช้งาน ให้ยาวนานขึ้น พฤติกรรมผิดๆ ของผู้ใช้รถ ซึ่งอาจส่งผลเสียกับรถยนต์ทันที หรือแสดงผลในภายหลัง ส่วนใหญ่เกิดจากความเข้าใจผิด โดยเฉพาะใน 29 เรื่องต่อไปนี้

1.(ผิด) สตาร์ทแล้วออกรถได้เลยไม่ต้องอุ่นเครื่อง (ถูก) อุ่นเครื่องยนต์สักหน่อยก่อนออกรถจะดีกว่า

เมื่อ เครื่องยนต์ทำงานขณะที่ยังเย็นอยู่ เช่น ขณะออกรถจากบ้านไปทำงานตอนเช้า หรือติดเครื่องยนต์เมื่องานเลิกเพื่อกลับบ้าน ไอของเชื้อเพลิงที่เข้มข้นจะเกาะผนังกระบอกสูบ และละลายปนกับฟิล์มน้ำมันเครื่องที่ฉาบผนังอยู่ ทำให้การหล่อลื่นแหวนลูกสูบกับผนังกระบอกสูบไม่เพียงพอ สร้างความสึกหรอกในเครื่องยนต์มากกว่าปกติ นอกจากนี้ทั้งเชื้อเพลิงที่ระเหยไม่หมด และไอน้ำที่เกิดจากการเผาไหม้ขณะเครื่องยังเย็นนี้ ยังละลายปนอยู่ในน้ำมันเครื่อง ทำให้น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพเร็วขึ้นอีกด้วย

2. (ผิด) รถใหม่สมัยนี้ ไม่ต้อง รันอิน (ถูก) รถใหม่ทุกรุ่นทุกยี่ห้อ ต้องรันอิน

รถ รุ่นใหม่ๆ แม้จะมีการควบคุมคุณภาพอย่างดีแล้วก็ตาม แต่เครื่องยนต์ใหม่ควรต้องผ่านการรันอิน และเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องสักครั้งก่อนที่จะใช้งานอย่างเต็มที่ เพราะเศษโลหะที่ตกค้างอยู่ในระบบจะได้ถูกชะล้างออกไป การรันอินนั้นทำได้ไม่ยาก โดยในช่วง 1,000 กม. แรกไม่เร่งเครื่องยนต์อย่างรุนแรง หรือใช้รอบเครื่องยนต์ที่สูงมาก ๆ ถ้าใช้รอบเครื่องไม่เกิน 3,000 รตน. (รอบต่อนาที) ได้ก็จะดีและเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะที่ผู้ผลิตกำหนดพูดถึงเรื่องนี้ เคยมีผู้ใช้รถบางคนไม่นำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจเช็ค โดยให้เหตุผลว่า เสียเวลา เปลี่ยนน้ำมันเครื่องทำที่ไหนก็ได้ อย่างนี้น่าเสียดายแทนจริง ๆ เพราะถ้าเกิดความเสียหายกับเครื่องยนต์จะเรียกร้องเอากับใคร

3. (ผิด) ยกขาก้านปัดน้ำฝนขณะจอดรถช่วยยืดอายุใบปัด (ถูก) สปริงในก้านที่ปัดน้ำฝนจะอ่อน และเสียเร็วขึ้น

ส่วน สำคัญที่ทำให้ที่ปัดน้ำฝนทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพประกอบด้วย ใบปัด แผ่นยางซึ่งทำหน้าที่รีดน้ำจากกระจกบังลมหน้า ปกติจะมีอายุการใช้งานประมาณ 1 ปี หากใช้นานกว่านั้นเนื้อยางจะแข็งตัวหรือมีการฉีกขาด ไม่ว่าจะยกไว้หรือไม่ก็ตามอีกส่วนคือ ก้านใบปัดที่มีสปริงคอยดึงให้ใบปัดแนบสนิทกับกระจก ซึ่งรับแรงจากคันโยก และมอเตอร์ ตัวนี้มีราคาสูงกว่าใบปัด การยกก้านเมื่อจอดตากแดด สปริงจะถูกดึงให้ยื[คำไม่พึงประสงค์]อกตลอดเวลา อายุการใช้งานสั้นลง ทำให้ต้องจ่ายแพงกว่าเดิมหลายเท่าถ้าต้องเปลี่ยนทั้งชุด

4. (ผิด) รถติดไฟแดงคาเกียร์ D ไว้ดีกว่าเปลี่ยนเกียร์ว่าง (ถูก) หยุดรถก็โอเค แต่ถ้าติดไฟแดงนานก็ต้องระวังชนคันหน้า

ใน กรณีรถติดไฟแดง ผู้ขับรถที่ใช้เกียร์ธรรมดาจะปลดเกียร์ว่าง และเหยียบเบรคป้องกันรถไหล คงจะไม่มีใครเหยียบคลัทช์ และเบรค ใส่เกียร์คาไว้ให้เมื่อยขา ณะที่ผู้ขับรถเกียร์อัตโนมัติ กลับมาพฤติกรรมที่แตกต่างกัน กลุ่มแรก เหยียบเบรคโดยคาเกียร์ไว้ที่ตำแหน่ง D กลุ่มที่ 2 เบรคเหมือนกัน แต่เลื่อนตำแหน่งคันเกียร์มาที่เกียร์ว่าง N กลุ่มสุดท้าย ดัดคันเกียร์มาอยู่ที่ P ไม่เหยียบเบรค ถ้าติดไฟแดงนาน ๆ กลุ่มแรก ต้องระวังมากที่สุด เพราะถ้าขยับตัวแล้วเท้าหลุดจากแป้นเบรค รถอาจพุ่งไปชนคันหน้า กลุ่มที่ 2 เบาหน่อยแค่เมื่อย ส่วนกลุ่มสุดท้าย สบายใจได้แต่อาจจะไม่สะดวกกับการใช้งาน วิธีดีที่สุด คือ เกียร์ว่าง และดึงเบรคมือ

5. (ผิด) ฝนตกขับ 4 ล้อเกาะกว่า...2 ล้อ (ถูก) อย่าใช้ระบบขับเคลื่อนผิดประเภท จะได้ไม่ต้องเสียใจ

ระบบ ขับเคลื่อน 4 ล้อนั้นอาจจะช่วยให้รถเกาะถนนมากกว่าระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ แต่สำหรับรถที่ใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบพาร์ทไทม์หรือ ตามต้องการในรถพิคอัพหรือพีพีวี ที่มีชุดส่งกำลังแยกเพื่อส่งกำลังไปยังล้อหน้า กำลังจากล้อหลังจะถูกแบ่งมายังล้อหน้า อาการท้ายปัด หรือล้อหลังฟรีก็จะน้อยลง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเกาะถนนดี เมื่อต้องเลี้ยวในความเร็วสูง ล้อหน้าที่ถูกล็อคให้หมุนจะเลี้ยวได้น้อยลง ทำให้ต้องใช้วงเลี้ยวที่กว้างขึ้น จึงมีรถประเภทนี้หลุดโค้งให้เห็นกันเป็นประจำ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบพาร์ทไทม์มีไว้เพื่อช่วยให้รถสามารถผ่านทางทุรกันดารได้ง่ายขึ้น ต่างกับพวกที่เป็นฟูลล์ไทม์หรือ ตลอดเวลา ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการยึดเกาะถนน

6. (ผิด) เดินทางไกลลมยางอ่อนดี (ถูก) ลมน้อย ยางมีโอกาสระเบิด

คู่ มือการใช้และดูแลรักษายางรถยนต์ไม่ว่าจะเป็นค่ายไหน แนะนำตรงกันว่า ผู้ใช้รถควรเติมลมยางตามมาตรฐานที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนดไว้ และให้เพิ่มแรงดันลมยางให้สูงขึ้นอีก 2-3 >ปอนด์ เมื่อต้องเดินทางไกล ลมยางที่อ่อนกว่ามาตรฐานกำหนด นอกจากจะทำให้ยางด้านนอกสึกมากกว่าด้านในแล้ว ยังอาจส่งผลเสียกับโครงสร้างยางได้ มีโอกาสเกิดยางระเบิดมากกว่าหรือใกล้เคียงกับยางที่มีแรงดันลมยางเกินกำหนด เพราะอุณหภูมิความร้อนที่เกิดจากการเสียดสีของหน้ายาง และฉีกขาดได้ง่าย

7. (ผิด) ตั้งศูนย์ล้อหน้าอย่างเดียวก็พอ (ถูก) ทุกล้อมีความสำคัญ ตั้งศูนย์ล้อควรทำทั้ง 4 ล้อ

เชื่อ หรือไม่ว่า ศูนย์ล้อหลังมีความสำคัญพอ ๆบศูนย์ล้อหน้า หรืออาจจะมากกว่า เพราะมุมที่ล้อหลังเอียงไปเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้รถเสียสมดุลเมื่อเบรคหรือเลี้ยว และทำให้รถเลี้ยวไปมากกว่าที่คิดรถยนต์ส่วนใหญ่จะปรับตั้งศูนย์ล้อได้ หน้า/หลัง ยกเว้นรถขับเคลื่อนหน้าบางรุ่นที่ปรับได้แต่เฉพาะล้อหน้าเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถตั้งศูนย์ล้อหลัง ก็ต้องทำใจ

8. (ผิด) เปิดสัญญาณไฟฉุกเฉินข้ามแยก (ถูก) เวลาข้ามแยก รอให้รถว่าง และไม่เปิดไฟฉุกเฉิน

ถ้า คุณเปิดไฟฉุกเฉิน รถทั้งด้านซ้าย/ขวา ต่างก็จะเห็นสัญญาณไฟเลี้ยวเพียงด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น รถทางขวาอาจจะจอดให้ไป แต่สำหรับทางซ้ายอาจคิดว่าคุณจะเลี้ยวซ้ายจึงไม่หยุดให้ อุบัติเหตุจึงเกิดขึ้น ด้วยความเข้าใจผิด จากการใช้สัญญาณไฟแบบผิดที่ผิดทาง

9. (ผิด) ฝนตกหนัก หรือหมอกลงจัดต้องเปิดไฟฉุกเฉิน (ถูก) อาจสร้างความสับสนให้ผู้ร่วมทาง

ไฟ ฉุกเฉินใช้เวลาจอดฉุกเฉิน ในสภาพอากาศที่ไม่ดี และทัศนวิสัยแย่มาก จนมองแทบไม่เห็นรถคันหน้า การชะลอความเร็ว เปิดไฟหน้า และทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้าให้มากขึ้นเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่การใช้สัญญาณไฟฉุกเฉิน ทำให้รถที่วิ่งสวนทางมาเข้าใจผิดคิดว่ามีรถจอดเสียอยู่ทางซ้ายริมถนน และหักหลบไปทางขวา ซึ่งเป็นไหล่ทางกว่าจะเห็นอาจจะสายเกินไป ไม่ลงไปข้างทางก็อาจพุ่งข้ามช่องทางมาชน หรือถ้าหยุดรถก็ขวางทาง และเกิ[คำไม่พึงประสงค์]ุบัติเหตุ การใช้สัญญาณไฟฉุกเฉิน หรือไฟผ่าหมาก ควรใช้เฉพาะเวลาที่รถเสีย และต้องจอ[คำไม่พึงประสงค์]ยู่ริมถนน เพื่อบอกให้เพื่อนร่วมทางที่สัญจรผ่านไปมา ใช้ความระมัดระวัง

10. (ผิด) ผ้าเบรคแข็ง หรือ ผ้าเบรคเนื้อแข็งไม่ดี (ถูก) ไม่แน่เสมอไป ขึ้นอยู่กับความต้องการ

ความ เข้าใจผิด ๆ เรื่อง ผ้าเบรคที่ว่าผ้าเบรคอ่อนดีกว่าแข็ง เกิดจากบรรดาช่างซ่อมรถที่ไม่ได้อธิบายให้เจ้าของรถเข้าใจ การผสมเนื้อผ้าเบรคให้ใช้งานได้ดี เป็นศาสตร์ชั้นสูง ใช้วัสดุนานาชนิด และมีสัดส่วนที่แตกต่างกัน ซึ่งจะมีผลต่อคุณสมบัติของผ้าเบรค และมักจะขัดแย้งกันเอง ถ้าเน้นข้อดีข้อใดขึ้นมา ก็มักจะมีข้ออื่นด้อยลงไป เช่น การใช้ส่วนผสมที่เบรคหยุดดี ก็จะกินเนื้อจานเบรคมาก หรือร้อนจัด หรือไม่เนื้อผ้าเบรคก็สึกเร็ว พอทำให้สึกช้า ก็แข็ง เบรคไม่ค่อยอยู่ หรือมีเสียงรบกวน ส่วนผ้าเบรค เนื้ออ่อน ที่มีจุดเด่นเรื่องไม่กัดกินเนื้อจานเบรค

11. (ผิด) เอนนอนขับแบบนักแข่ง...สบายที่สุด (ถูก) อย่าปรับเบาะเอนมาก จะได้ไม่เมื่อย

ท่า ขับแบบนักแข่งตัวจริง ต่างกับการปรับเบาะเอนนอนขับมาก การนั่งท่านี้จะรู้สึกว่าจะหลุดจากเบาะนั่งทุกครั้งที่เบรคแรง ๆ แขนที่เหยียดตึงตลาดเวลานอกจากจะทำให้เมื่อยล้า ยังต้องยกตัวขึ้นเมื่อถึงเวลาที่ต้องเลี้ยวเพราะไม่มีแรงหมุนพวงมาลัย และมองทางข้างหน้าไม่เห็น เช่นเดียวกับเวลาถอยหลังจอด สายเข็มขัดนิรภัยที่อยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าการนั่งขับแบบปกติ อาจจะรั้งคอแทนที่จะเป็นไหล่เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ท่านั่งที่ถูก ต้องเอาหลังพิงพนักจนสนิทแล้วเหยียดแขนข้างใดข้างหนึ่ง ไปวางบนส่วนบนสุดของพวงมาลัยแล้วตรงกับข้อมือ ขาต้องสามารถเหยียบแป้นคลัทช์จนจม โดยไม่ต้องเหยียดข้อเท้าสุดแบบนักบัลเลท์ ส่วนต้าของขาอ่อนดันกับเบาะนั่งส่วนหน้า จนรู้สึกว่าน้ำหนักตัวที่ลงตรงสะโพกพอดี และยังสัมผัสกับพนักพิง

12. (ผิด) นั่งชิดพวงมาลัยเพื่อให้มองเห็นหน้ารถ (ถูก) อันตราย ตัวอาจกระแทกกับพวงมาลัยบาดเจ็บ

ผู้ ที่นั่งใกล้พวงมาลัยเกินไป มักเป็นผู้ที่ไม่ค่อยให้ความสนใจกับเรื่องความปลอดภัยในการขับรถ และได้รับการสอนท่านั่งมาแบบผิด ๆ ลำตัวที่อยู่ชิดกับพวงมาลัย นอกจากจะทำให้หมุนพวงมาลัยไม่ถนัดเพราะแขนงอมากเกินไป ยังเพิ่มความเสี่ยงให้แกตัวผู้ขับ ที่อาจจะบาดเจ็บจากการที่ลำตัวกระแทกกับพวงมาลัย และแรงระเบิดจากถุงลมนิรภัยเมื่อเกิ[คำไม่พึงประสงค์]ุบัติเหตุ

13. (ผิด) สอดมือหมุนพวงมาลัยถนัด เบาแรง และปลอดภัย (ถูก) ไม่ถนัดจริง และอันตราย ไม่ควรทำ

การ หงายมือล้วงหรือสอดมือจับพวงมาลัย เพื่อเลี้ยวรถเป็นการออกแรงดึงเข้าหาตัว จึงทำให้รู้สึกว่าออกแรงน้อยกว่าการจับแบบคว่ำมือหมุน แต่การทำแบบนั้นมีอันตรายมาก ถ้าหากล้อหน้าเกิดสะดุดก้อนหิน และเกิดมือหลุดจากพวงมาลัย

14. (ผิด) เกียร์ ซีวีที ขับยากและกินน้ำมันกว่าเกียร์ทั่วไป (ถูก) ขับง่ายและประหยัดน้ำมันกว่าเกียร์อัตโนมัติทั่วไป

การ ไม่สามารถเข้าใจเหตุผล ก็กลายเป็นปัญหาใหญ่ ผู้ที่ขับรถใช้เกียร์ ซีวีที บอกว่าขับแล้วรู้สึกเหมือนขับรถที่เกียร์ หรือระบบขับเคลื่อน มีปัญหาให้ความรู้สึกที่ไม่ดี โดยเฉพาะตอนที่ขับด้วยความเร็วคงที่แล้วกดคันเร่งเพิ่ม เกียร์จะเลือกอัตราทดที่เหมาะ ทำให้ความเร็วเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นทันที แต่ความเร็วรถยังเท่าเดิม ให้ความรู้สึกเหมือนรถคลัทช์ลื่น การขับแบบประหยัดเชื้อเพลิง ให้เหยียบคันเร่งไม่ลึกนักขณะออกรถและรักษาระยะที่เหยียบไว้ ช่วงแรกเครื่องยนต์จะส่งกำลังผ่านทอร์คคอนเวอร์เตอร์ พอล้อรถหมุนเร็วพอสมควร และไม่ต้องการความช่วยเหลือจากทอร์คคอนเวอร์เตอร์แล้ว ระบบต่อตรงส่งกำลังจากเครื่องยนต์ไปยังจานทรงกรวย ตัวขับก็จะทำงานจากนั้นระบบควบคุมจะลดระยะห่างของจานทรงกรวยคู่ที่เป็นตัว ขับ เป็นการล[คำไม่พึงประสงค์]ัตราทด เพื่อเพิ่มความเร็วรถ โดยที่ความเร็วของเครื่องยนต์ค่อนข้างคงที่ ยกตัวอย่างเช่น ประมาณ 1,800 รตน. ความเร็วจะเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนเดียวกับที่อัตราทดของเกียร์ลดลง จะได้ความเร็วประมาณ 60-70 กม./ชม. ซึ่งเป็นความเร็วสูงสุดของการเหยียบคันเร่งของเราเท่านี้ เยี่ยมไหมครับ

15. (ผิด) ต้องเปลี่ยนไส้กรองทุกครั้งที่เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง (ถูก) ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทุกครั้ง แต่ถ้าเปลี่ยนได้ก็ดี

ผู้ ผลิตรถยนต์จากยุโรป แนะนำให้เปลี่ยนพร้อมกับการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกครั้ง แต่โรงงานผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อย แนะนำให้เปลี่ยนไส้กรอง หรือหม้อกรองทุก ๆ ครั้งที่ 2 ของการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ถ้าคำนึงถึงคุณภาพของน้ำมันเครื่องยุคปัจจุบันแล้ว น้ำมันเครื่องหมดอายุแล้ว ในหม้อกรองน้ำมันเครื่องจำนวนหนึ่งปนเปื้อน ไม่ถึงกับให้โทษในด้านการหล่อลื่นหรือทำความสะอาดภายในเครื่องยนต์ แต่เมื่อคำนึงถึงราคาหม้อกรอง หรือไส้กรอง ซึ่งถูกกว่าราคาน้ำมันเครื่องแล้ว ควรเปลี่ยนทุกครั้งเพื่อให้น้ำมันเครื่องสะอาดที่สุด และทำหน้าที่รักษาเครื่องยนต์ของเราจะดีกว่า

16. (ผิด) ควรเติมหัวเชื้อน้ำมันเครื่องเพื่อถนอมเครื่องยนต์ (ถูก) อาจจะหนืดไป แค่ใช้น้ำมันเครื่องดีมีคุณภาพ ก็เพียงพอแล้ว

เรา แบ่งหัวเชื้อน้ำมันเครื่องได้เป็น 2 ประเภท คือ ประเภทที่ช่วยเพิ่มคุณภาพของน้ำมันเครื่อง และประเภทที่ช่วยเพิ่มความหนืดของน้ำมันเครื่องน้ำมันเครื่องคุณภาพสูงใน ปัจจุบันมีส่วนผสมของสารต่าง ๆ อยู่ในปริมาณและสัดส่วนที่เหมาะสม จึงไม่ควรใส่สารอื่นเข้าไปทำลายสัดส่วนสารเคมีเหล่านี้ให้เสียสมดุล และกลับให้โทษแก่เครื่องยนต์ประเภทแรกจึงไม่จำเป็น ส่วนหัวเชื้อน้ำมันเครื่องที่ช่วยเพิ่มความหนืด อาจช่วยลดความสิ้นเปลืองน้ำมันเครื่องของเครื่องยนต์ที่หมดสภาพแล้วได้บ้าง แต่เมื่อคำนึงถึงราคาแล้วก็ไม่น่าจะช่วยประหยัดได้ และเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุด้วย วิธีที่ถูกต้องคือ การซ่อมใหญ่ หรือโอเวอร์ฮอล เพื่อให้เครื่องยนต์กลับคืนสู่สภาพดีปกติ

17. (ผิด) เติมน้ำมันเครื่องคุณภาพสูงปนกับน้ำมันเครื่องทั่วไปจะได้คุณสมบัติที่ดี ขึ้น (ถูก) การผสมไม่ได้ช่วยให้คุณภาพดีขึ้นใช้น้ำมันเครื่องคุณภาพมาตรฐานจะดีกว่า

การ นำน้ำมันเครื่องคุณภาพสูงสุดสักครึ่งลิตร มาผสมกับน้ำมันเครื่องคุณภาพปานกลาง ก็ไม่สามารถเพิ่มคุณภาพขึ้นมาได้ เอาเงินส่วนนี้ไปทำประโยชน์ส่วนอื่นจะดีกว่า เช่นเดียวกับการเอาน้ำมันเครื่องคุณภาพต่ำมาเติมผสมลงไปในน้ำมันเครื่องชั้น ดีราคาสูง ซึ่งจะทำให้ส่วนผสมของสารเพิ่มคุณภาพในน้ำมันเครื่องเสียสมดุลไป เท่ากับน้ำมันเครื่องทั้งหมดคุณภาพต่ำไป การเติมน้ำมันเครื่องใหม่เมื่อน้ำมันเครื่องเดิมใกล้จะถึงกำหนดเปลี่ยนถ่าย นั้น ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำเพราะไม่คุ้มกับเงินที่จ่ายไปเพื่อแลกกับการใช้งาน เพียงระยะสั้น ทางที่ดีเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดเลยจะคุ้มกว่า

18. (ผิด) ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องใหม่ทุก ๆ 5,000 กม (ถูก) ขึ้นอยู่กับคุณภาพน้ำมันเครื่องและความต้องการของเครื่องยนต์

ผู้ ผลิตรถยนต์แต่ละราย กำหนดมาตรฐานคุณภาพของน้ำมันเครื่องที่เครื่องยนต์แต่ละรุ่นต้องการใช้ อยู่ในคู่มือประจำรถ และกำหนดระยะเวลาการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องไว้แตกต่างกันด้วย รถยนต์ของค่ายญี่ปุ่น จะมีกำหนดเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เช่น ทุก ๆ 5,000 กม. และ 10,000 กม. ส่วนรถค่ายยุโรปส่วนใหญ่ที่เครื่องยนต์ใหญ่ใช้รอบเครื่องยนต์ต่ำ และมาตรฐานคุณภาพของน้ำมันเครื่องไว้สูง เช่น ระดับ SJ สำหรับเครื่องยนต์เบนซินจะกำหนดระยะทางถึง 15,000 กม. หรือมากกว่านั้น ปัจจุบันกำหนดเปลี่ยนน้ำมันเครื่องที่มีระยะมากที่สุด เป็นของรถ เปอโยต์ คือ ทุก ๆ 30,000 กม. แต่อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนก่อนเวลาก็ไม่ได้ทำให้เสียหาย เพียงแต่เปลืองเงินกว่าที่ควร เท่านั้นเอง ถ้าใช้น้ำมันเครื่อง ธรรมดา คุณภาพสูง แล้วใช้งานหนักมาก เปลี่ยนทุก 5,000 กม. ถ้าใช้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ 100% เปลี่ยนทุก 10,000 กม. หากใช้งานเบากว่านี้ เพิ่มระยะทางได้ตามความเหมาะสม

19. (ผิด) ดีเซลมีระยะการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเท่ากับเบนซิน (ถูก) อุณหภูมิภายในไม่เท่ากัน อายุการใช้งานก็ต่างกันด้วยการ

เผาไหม้ของเครื่องยนต์ดีเซล ก่อให้เกิดเขม่ามากกว่าในเครื่องยนต์เบนซิน ผงเขม่าขนาดเล็กสามารถลอดผ่านกระดาษกรองของหม้อกรองน้ำมันเครื่องได้ เมื่อสะสมแขวนลอยอยู่ในน้ำมันเครื่องมากขึ้น จะทำให้น้ำมันเครื่องมีค่าความหนืดสูงขึ้น คุณสมบัติในการหล่อลื่นจึงลดลง เครื่องยนต์ดีเซลระบบฉีดตรงเข้าห้องเผาไหม้ หรือไดเรคท์อินเจคชันยุคใหม่มีเขม่าน้อยกว่าแบบพรีแชมเบอร์มาก กำหนดเปลี่ยนน้ำมันเครื่องของเครื่องยนต์แบบนี้ใกล้เคียงกับเครื่องยนต์ เบนซิน

20. (ผิด) น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ 100% คุ้มกว่าน้ำมันเครื่องธรรมดา (ถูก) ราคาแพงกว่าใช้ได้นานกว่า แต่จะคุ้มหรือไม่อยู่ที่ใจ

จุด เด่นแรกของน้ำมันเครื่องสังเคราะห์อยู่ที่ค่าความหนืดต่ำที่อุณหภูมิต่ำ จึงไหลไปหล่อลื่นส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ได้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เริ่มติดเครื่องยนต์ในสภาพเย็นจัด เช่น ต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส ซึ่งสภาวะเช่นนี้ไม่มีในประเทศไทย ข้อดีประการที่ 2 คือทนต่อความร้อนสูงที่ผนังกระบอกสูบได้ดีกว่า จึงมีอัตราการระเหยเป็นไอได้น้อยกว่าน้ำมันเครื่อง ธรรมดา อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเครื่องน้อย จุดเด่นอีกข้อของน้ำมันเครื่อง สังเคราะห์ คือ การมีค่าดัชนีความหนืดสูงจึงไม่ใสเกินไปเมื่อถูกความร้อนจัด น้ำมันเครื่องสังเคราะห์จึงมีสารปรับดัชนีความหนืดผสมอยู่ในอัตราที่น้อย กว่าน้ำมันเครื่องธรรมดาเนื่องจากสารปรับดัชนีความหนืดนี้เสื่อมสภาพได้ง่าย ตามอายุใช้งานยาวนานกว่า น้ำมันเครื่องธรรมดามาก เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันเครื่องสังเคราะห ์ 100% กับราคาน้ำมันเครื่องธรรมดา ระดับคุณภาพสูงสุดน้ำมันเครื่องสังเคราะห์จะมีราคาสูงกว่าราว 2 ถึง 4 เท่าจึงไม่สามารถกล่าวได้ว่า คุ้มกว่าน้ำมันเครื่องธรรมดา ยกเว้นพวกชอบใช้ของแพงได้จ่ายเงินมากแล้วมีความสุข ผู้ที่ต้องการถนอมให้เครื่องยนต์สึกหรอน้อยที่สุด โดยไม่คำนึงถึงราคาว่าคุ้มหรือไม่ น้ำมันเครื่องมาตรฐานที่ผู้ผลิตกำหนดน่าจะเป็นน้ำมันเครื่องที่ใช้ได้คุ้ม ค่าและเพียงพอกับความต้องการแล้ว

21. (ผิด) ใช้น้ำมันเครื่องราคาถูกแต่เปลี่ยนบ่อย ๆ ช่วยถนอมเครื่องยนต์ (ถูก) ถ้าเจอน้ำมันเครื่องปลอม ไม่มีคุณภาพอาจทำให้เครื่องยนต์เสียหาย

ไม่ ควรนำน้ำมันเครื่องราคาถูกมาเปลี่ยนบ่อย ๆ เช่น ทุก 3,000 หรือ 4,000 กม. แทนน้ำมันเครื่องมาตรฐานที่ผู้ผลิตกำหนด เพราะในประเทศเราที่ไม่มีหน่วยงานควบคุม และตรวจสอบคุณภาพของน้ำมันเครื่องอยู่เลย แม้น้ำมันเครื่องระดับคุณภาพสูงที่เราซื้อมา ก็อาจเป็นของปลอมที่กรองและฟอกสีมาจากกากน้ำมันเครื่องใช้แล้วก็ได้ ว ิธีถนอมเครื่องยนต์ที่ดีที่สุด คือ เลือกใช้น้ำมันเครื่องคุณภาพสูงสุด ก่อนอื่นต้องเลือก ยี่ห้อ และสถานที่จำหน่ายที่น่าไว้วางใจได้ เลือกระดับคุณภาพ แล้วจึงดูระดับความหนืด หรือความข้นของน้ำมันเครื่องที่เหมาะสมกับอุณหภูมิเฉลี่ยของเมืองไทย เช่น 10W-40/15W-40/15W-50 หรือ 20W-50 ระดับคุณภาพที่รู้จักกันแพร่หลายใ นประเทศไทย คือ ระดับคุณภาพตามมาตรฐานของ API (American Petroleum Institute) ถ้าเป็นรถใช้เครื่องยนต์เบนซินควรใช้น้ำมันเครื่อง ระดับคุณภาพ SJ หรือ อย่างน้อย SH ถ้าเป็นรถใช้เครื่องยนต์ดีเซล ควรเลือกระดับ CG-4 หรืออย่างน้อย CF-4

22. (ผิด) แบทเตอรี่ลูกใหญ่ สตาร์ทติดง่าย (ถูก) แบทเตอรี่ขนาดไหนก็ใช้ไฟเท่าเดิม

การใช้แบทเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิม ขณะที่องค์ประกอบอื่น ๆ ทั้งเครื่องยนต์ ไดสตาร์ท และไดชาร์จ ยังมีขนาดเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง นอก จากจะเป็นความสิ้นเปลืองที่เกินกว่าความจำเป็น เพราะความต้องการไฟในการสตาร์ทเครื่องยนต์ยังเท่าเดิมแล้ว ยังอาจส่งผลเสียกับไดชาร์จในอนาค แบทเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่มากเกินไป ไม่เพียงต้องทำให้เจ้าของรถต้องดัดแปลงแท่นวางแบทเตอรี่ใหม่เท่านั้น ยังอาจส่งผลให้ไดชาร์จทำงานเต็มกำลังตลอดเวลา เพื่อบรรจุไฟเข้าไปเก็บในแบทเตอรี่ ซึ่งจะหยุดก็ต่อเมื่อไฟเต็ม แบทเตอรี่ ในปัจจุบันแม้มีขนาดที่เล็กแต่ก็ใช้งานได้ดีไม่แพ้แบทเตอรี่ลูกใหญ่

23. (ผิด) ปิดพัดลมแอร์ก่อนดับเครื่องยนต์ จะใช้ให้แอร์ไม่เสียเร็ว (ถูก) ควรปิดคอมเพรสเซอร์แอร์ ก่อนดับเครื่อง ช่วยยืดอายุตู้แอร์

ระบบ ทำความเย็นทั้งภายในรถและอาคาร อาศัยหลักการถ่ายเทความเย็น และระบายความร้อน ซึ่งตู้แอร์ หรือคอยล์เย็น จะมีสารทำความเย็นบรรจุอยู่ภายใน โดยมีพัดลมทำหน้าที่เป่าลม การปิดพัดลมก่อนดับเครื่อง ความเย็นยังคงอยู่ภายในระบบ ตู้แอร์จึงชื้น และกลายเป็นที่สะสมฝุ่นละออง ซึ่งจะทำให้ลมผ่านได้ไม่สะดวก เกิดการอุดตัว และตู้รั่ว การเปิดคอมเพรสเซอร์ หรือปิดสวิทช์ AC ก่อนดับเครื่องยนต์อย่างน้อย 5-10 นาที จะช่วยไล่ความชื้นในตู้แอร์ ไม่เป็นที่สะสมฝุ่น นอกจากจะช่วยยื[คำไม่พึงประสงค์]ายุตู้แอร์ ยังช่วยลดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ >ที่มักเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับความชื้นอีกด้วย

24. (ผิด) แก็สโซฮอล์สิ้นเปลืองกว่าเบนซิน 95 เพราะระเหยได้ง่ายกว่า (ถูก) แอลกอฮอลล์มีควาามหนาแน่นของพลังงานต่ำกว่าของเบนซิน

การที่ แก็สโซฮอล์สิ้นเปลืองกว่าเพราะแอลกอฮอล์มีพลังงานสะสมในตัวมันน้อย กว่า เมื่อเทียบมวลเท่ากัน เช่น มีพลังงานกี่กิโลแคลอรี่ต่อมวลหนึ่งกิโลกรัมเท่ากัน หรือกล่าวได้ว่าแอลกอฮอล์มีความหนาแน่นของพลังงาน หรือค่าความร้อน (Heating Value) ต่ำกว่าของเบนซิน เกี่ยวกับการระเหยง่ายอย่างที่หลายคนคิด ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน คือ น้ำมันเบนซินซึ่งระเหยง่ายมาก และน้ำมันดีเซลซึ่งระเหยยากมาก แต่มีความหนาแน่นของพลังงานหรือค่าความร้อนพอ ๆ กัน และมากกว่าของแอลกอฮอล์ประมาณเท่าตัว

25. (ผิด) ไส้กรองอากาศไม่ต้องเปลี่ยนแค่เป่าลมก็ใช้ได้ (ถูก) เปลี่ยนใหม่ดีกว่า ช่วยประหยัดค่าน้ำมันอีกด้วย

การ ใช้ลมเป่าไส้กรองอากาศที่นิยมทำกัน เมื่อมีฝุ่นติดเต็ม จนมองไม่เห็นสีเดิม วิธีนี้ช่วยให้ฝุ่นละอองเบาบางลง อากาศไหลผ่านได้ดียิ่งขึ้น แต่ถ้าเป่าแรงเกินไปแผ่นกรองอาจเสียหายจนใช้งานต่อไม่ได้ เพราะมีรูกว้างจนฝุ่นขนาดใหญ่สามารถผ่านเข้าไปได้ คิดแล้วไม่คุ้ม ยอมจ่ายเงินซื้อของใหม่มาใส่จะคุ้มกว่า การล้างคาร์บูเรเตอร์ หรือหัวฉีด แถมยังประหยัดค่าน้ำมันทางอ้อมอีกด้วย

26. (ผิด) เปลี่ยนกรองเปลือย และหัวเทียน ทำให้รถแรงขึ้น (ถูก) ช่วยอะไรไม่ได้มาก ไม่คุ้มกับเงินที่จ่ายไป

การ เปลี่ยนกรองอากาศมาเป็นแบบกรองเปลือย ที่ไม่มีกล่องป้องกันฝุ่นและท่อนำอากาศ อาจจะช่วยให้อากาศเข้าได้สะดวกขึ้น แต่ความหนาแน่นของมวลอากาศน้อยลงเพราะอุณหภูมิความร้อนภายในห้องเครื่องยนต์ ซึ่งปริมาณอากาศกับห้องเผาไหม้เท่าเดิม จึงให้กำลังตกลงเมื่อเครื่องร้อน อีกทั้งมีฝุ่นละอองมาก ทำให้ต้องล้างหรือทำความสะอาดบ่อย ๆ การใช้หัวเทียนใหม่ช่วยให้การจุดระเบิดสมบูรณ์ แต่ไม่ได้เพิ่มกำลังเครื่องยนต์ให้สูงกว่ามาตรฐานผู้ผลิตรถยนต์ได้กำหนดไว้

27. (ผิด) รถที่ใช้จานเบรค 4 ล้อปลอดภัยกว่ารถที่ใช้ดุมเบรคหลัง (ถูก) ไม่แน่ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของการใช้งาน

หลาย คนเข้าใจผิดคิดว่าจานเบรคใช้ได้ดีกับรถทุกรุ่นทุกขนาดแม้ว่าคุณสมบัติ ที่ดีของจานเบรคคือ ระบายความร้อนได้เร็ว ส่วนใหญ่ผู้ผลิตรถจึงใช้กับล้อหน้าที่ผ้าเบรคจับตัวจานเบรคแทบจะตลอดเวลา ดุมเบรคที่ระบายความร้อนได้ช้ากว่าเพราะมีฝาครอบ แต่มีพื้นที่สัมผัสมากกว่าจานเบรคและไม่มีปัญหาเบรคล็อคเหมือนจานเบรคใช้ใน ล้อหลัง รถที่ใช้งานแบบทั่วไป รวมทั้งรถที่มีระบบเอบีเอส ซึ่งวิศวกรผู้ผลิตรถยนต์จะเลือกใช้จานเบรคตามความเหมาะสมการที่เจ้าของรถนำ รถไปดัดแปลงใช้จานเบรคในล้อหลังต้องระวัง เพราะหากล้อหลังหยุดก่อนล้อหน้าอาจทำให้รถหมุนได้

28. (ผิด) เติมน้ำยาหล่อเย็นจะทำให้หม้อน้ำรั่ว (ถูก) น้ำยาเติมหม้อน้ำช่วยลดตะกอนและควบคุมอุณหภูมิ

น้ำยา เติมหม้อ หรือน้ำยาหล่อเย็น (Coolant) ถูกมองว่าเป็นตัวการทำให้หม้อน้ำและปั๊มน้ำรั่วอยู่เสมอ นั่นก็เพราะผู้ใช้รถจะพบปัญหาเหล่านี้หลังจากที่ได้เติมน้ำยาหล่อเย็น ซึ่งในความเป็นจริงเกิดจากระบบหล่อเย็นของรถขาดการบำรุงรักษามาเป็นเวลานาน หรือใช้น้ำที่มีค่าเป็นกรดเป็นด่างมากเกินไป จนเกิดการผุกร่อน ดังนั้นเราควรบำรุงรักษาหม้อน้ำด้วยการเปลี่ยนถ่ายน้ำยาในระบบหล่อเย็นปีละ ครั้ง รวมทั้งทำความสะอาดถังพักน้ำด้วย ส่วนการผสมน้ำยาหล่อเย็น ควรทำตามอัตราส่วนที่ผู้ผลิตระบุไว้

29. (ผิด) วางเท้าไว้บนแป้นคลัทช์ เพื่อใช้งานได้ทันทีที่ต้องกา (ถูก) ยกเท้าออกจากคลัทช์ จะได้ไม่เปลืองผ้าคลัทช์

เรื่อง นี้น่าจะเป็นความเคยของแต่ละบุคคล ไม่ใช่พฤติกรรมที่น่าเลียนแบบโดยปกติ รถเกียร์ธรรมดา จะต้องคอยระวังเครื่องดับ เมื่อเหยียบเบรคแรง หรือหยุดรถ หลายคนตึงไม่ยอมยกเท้าจากแป้นคลัทช์ทั้ง ๆ ที่เข้าเกียร์สุดท้ายไปนานแล้ว การวางเท้าไว้บนแป้นคลัทช์ตลอดเวลาบางครั้งอาจจะเผลอทิ้งน้ำหนักลงไปที่เท้า จนคลัทช์ทำงาน ส่งผลกระทบโดยตรงกับผ้าคลัทช์ และหวีคลัทช์ จนถึงไฟร์วีล ทำให้สึกหรอมากกว่าที่ควรจะเป็น เรื่องเหล่านี้ เป็นเพียงบางส่วนที่ผู้ใช้รถกระทำด้วยความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งถ้าสามารถแก้ไขได้ก็จะช่วยประหยัดความสิ้นเปลือง >และค่าใช้จ่ายได้มาก