วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ขี่ม้าแทนขับรถยนต์เมื่อน้ำมันแพง....คิดดีแล้วหรือว่าประหยัดและสบายกว่า

ตอนนี้รู้สึกว่า น้ำมันเริ่มขึ้นราคามานิดหน่อยแล้วตอนที่ขับรถยนต์ไปเติมเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา แต่ดูท่าว่ายังไม่มีเสียงบ่นใดๆ คงเพราะไม่ได้แพงบ้าเลือดแบบช่วงปีที่แล้ว (หรือคนไทยเริ่มชาชินกันแล้ว?) แต่ตอนที่น้ำมันแพงแบบบ้าเลือด ลิตรละ 44 บาท คือช่วงที่เต็มไปด้วยสารพัดมุขตลกเอาไว้บ่นเรื่องน้ำมันแพง โดยเฉพาะใน การ์ตูนรายสัปดาห์ชื่อดังเล่มละ15บาท ของ สำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่ เจ้าหนึ่ง (ที่นับวันการ์ตูนรายนี้เริ่มไร้ความเป็นกลางในการนำเสนอเนื้อหา และห่างไกลคำว่า"การ์ตูนที่เหมาะสมสำหรับทุกเพศทุกวัย" เข้าไปทุกที) มีมุขเกี่ยวกับน้ำมันแพงมุขหนึ่ง ที่เป็นภาพของท้องถนนในกรุงเทพฯ แต่ฝูงรถมอเตอร์ไซต์ถูกแทนที่ด้วยม้า รถเมล์ถูกแทนที่ด้วยช้าง(แล้วมีคำว่า ขสมก แปะด้านข้าง) แล้วรู้สึกว่าเคยมีนิตยสารอะไรสักอย่างนี่แหล่ะ เอามุขนี้ไปใช้ทำเป็นหน้าปก แล้วเท่าที่ความทรงจำผมยังมี เคยได้ยินว่ามีคนบ่นว่า น้ำมันแพงแบบนี้ ขี่ม้าขี่วัวขี่ควายแทนขับรถดีกว่ามั๊ง

แต่เท่าที่ผมนึกดูอีกที มันประหยัดกว่าและสบายกว่าจริงเหรอครับ ด้วยเหตุผลที่ว่า

-รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ไม่ได้ขับขี่ไปไหน น้ำมันมันก็ยังอยู่ในถัง (ถ้าไม่มีการรั่วซึมหรือมีใครมาแอบเปิดถังแล้วขโมยไป) แต่ช้าง ม้า วัว ควาย อยู่เฉยๆไม่ได้ใช้งาน มันก็ยังต้องกิน แน่อนว่าค่าของกินของสัตว์เหล่านี้ อาจจะต้องใช้เงินซื้อหามาอีกเช่นกัน

-น้ำมันสำหรับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ หาง่ายกว่าหญ้าสดสำหรับม้า วัว ควาย ทุ่งหญ้ากว้างๆที่เห้นอยู่ข้างทางไม่ใช่ว่าอยู่ๆจะไปใช้ประโยชน์ได้สุ่มสี่สุ่มห้าตามใจเรา ส่วนใหญ่เป็นที่มีเจ้าของ ซึ่งถ้าเข้าไปใช้โดยพละกาลนี่ มีปัญหาตามาภายหลังแน่ๆ หย้าสดซื้อเองก็แน่อนว่าต้องใช้เงินเราอีก ที่ซื้อก็คงหายากกว่าหาปั๊มน้ำมันแน่ๆ

-รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ไม่ได้ใช้งานนานๆมันก็แทบไม่ต้องเปลืองค่าบำรุงรักษาใดๆ แต่ต้องเก้บรักาาอย่างถูกวิธี เช่น ถ้าไม่ได้ใช้รถนานๆ ก็ถอดสายแบ็ตเตอรี่ออก จอดเก็บคลุมผ้าในที่ที่ไม่โดนสภาพอากาศแย่ๆ หรือถ้านานมากๆ ก็อาจจะต้องขึ้นแม่แรงล้อทั้ง4ให้ยางอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย เพื่อลดเวลาการเสื่อมของยาง แต่ช้าง ม้า วัว ควาย ต้องพึ่งพาสัตวแพทย์เพราะมันเป็นสิ่งมีชีวิต ผมว่าถ้าสัตว์เหล่านี้เจ็บป่วยที ค่าหมอค่ายาก็คงไม่ใช่เล็กๆแน่ (แม้ไม่ใช้งาน มันก็มีโอกาสเจ็บป่วยเช่นกัน)

-ใช้พื้นที่ไม่มากนักในการเป็นที่จอดรถยนต์และจักรยานยนต์ แต่สำหรับสัตวือย่างม้า วัว ควาย ต้องมีที่ใหญ่กว่าที่จิดรถพอสมควรให้มันอยู่อาศัย เกิดใครที่อยู่ทาวน์เฮาส์หรือที่อยู่อาศัยประเภทตึกสูงขึ้นมาหล่ะ ลำบากแน่ ไหนจะต้องพามันไปเดินเล่นอีกในบางเวลา แล้วตามประสาของสัตว์ ที่มันต้องร้องตามธรรมชาติของมันแม้ในยามค่ำคืน ซึ่งเมื่อมันอยุ่ในทุ่งก้ไม่เป้นไร แต่เมื่ออยุ่ในเมืองหรือที่ที่มีคนอยู่อาสัย กลายเป็นความหนวกหูขึ้นมาทันที โดยเฉพาะถ้ามันอยู่กันหลายๆคัว

-และเมื่อสัตว์เหล่านั้นกิน มันย่อมต้องขับถ่าย ก็ต้องมาลำบากเก็บกวาดมันอีกหล่ะ แล้วยิ่งเดิที่อยู่อาศัยของคุณเป็นที่ที่มีคนอยุ่เยอะแบบบ้านจัดสรร ทาวน์เฮาส์ กลิ่นเหม็นของอุจจาระสัตว์เหล่านั้นอาจะกลายเป็นประเด็นความขัดแย้งของคุณกับเพื่อนบ้านข้างๆ หรือทั้งละแวกบ้านเลยก็ได้ แค่สุนัขที่เราเลี้ยงกันทั่วไป ก็สร้างปัญหาแบบนี้มานักต่อนักแปล้ว ในบ้านจัดสรรหลายที่ หมู่บ้านจัดสรรบางแห่งที่มีสวนสาธารณะ ถึงกับต้องประกาศเลยว่า ห้ามนำสุนัขมาถ่ายอุจาระในบริเวณนี้
แล้วลองนึกภาพบนท้องถนนที่เต็มไปด้วยช้าง ม้า วัว ควาย (แทนที่รถยนต์) แล้วเกิดมันถ่ายกลางถนนขึ้นมา เหม็นกันน่ะสิครับ ทั้งคนที่ขี่สัตว์เหล่านั้น คนเดินถนนคนอื่นก็พลอนซวยเพราะเหม็นไม่พอ ต้องระวังไปเผลอเหยียบมันอีกเวลาเดินข้ามถนน พนักงานเทศบาลได้บ่นเพิ่มขึ้นอีกเพราะแค่ลำพังขยะธรรมดาที่ต้องจัดการในแต่ละวันก็ลำบากพอแรงแล้ว แน่ยังจะมีอุจจาระจากสัตว์เหล่านี้มาเพิ่มภาระอีก แล้วทางรัฐบาลอาจจะออกกฎหมายเก็บภาษีเพิ่มขึ้นอีกสำหรับผู้ที่ใช้สัตว์เหล่านี้แทนรถยนต์ เพื่อนำไปเป้นค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาดสิ่งปฏิกูลที่สัตว์เหล่านีเปล่อยออกมาบ่นถนนสาธารณะ

เคยมีอาจารย์มหาวิทยาลัยท่านหนึ่งในเชียงใหม่ ใช้วิธีขี่ม้าไปทำงาน โอเคครับ เขาทำได้เพราะเขามีบ้านเป็นทุ่งหญ้าโล่งที่เอื้ออำนวยอยุ่แล้ว กับสารพัดปัจจัยทางกายภาพที่เอื้ออำนวยให้ทำแบบนั้นได้ แต่อย่างพวกเรานี่ จะกลายเป็นแต่ปัญหาและภาระสถานเดียว แถมไม่คุ้มด้วย

ถึงหลายคนจะอยู่ในกรุงเทพฯ แต่ก็อย่างที่รู้ว่า รถไฟลอยฟ้าและรถไฟใต้ดิน มันก็ไม่ได้ครอบคลุมไปซะทุกจุด ขนส่งมวลชนหลายอย่างก็ยังขลุกขลักทั้งในด้านความสะดวก ความสะอาด ความปลอดภัย หลายคนก็มีบ้านอยู่ในจุดที่ห่างไกลขนส่งมวลชนอีก บางคนก็มีสภาวะปัจจัยทางกายภาพบางประการ ที่ต้องใช่รถยนต์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แม้น้ำมันจะแพงก็ตาม

ผมก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำมันแพง แต่ไม่เคยบ่น ไม่ว่าจะบ่นด้วยปาก ด้วยการส่งSMSไปตามรายการทีวี หรือโดยการตั้งกระทู้ (ที่ต้องให้ตั้งครบ1ล้านกระทู้ มันก็ไม่ได้ทำให้น้ำมันถูกลงได้แม้แต่สตางค์เดียว) ที่ไม่บ่นไม่ใช่เพราะว่ารวยหรือมีเงินเหลือเฟือ (ถ้ารวย ป่านนี้คงนั่งเครื่องบินชั้น first class ไปซื้อเลโก้ราคาถูกที่สหรัฐอเมริกาแล้วครับ ไม่ก็ไปซื้อที่พารากอน โดยไม่ต้องสนว่าจะมีส่วนลดหรือเปล่า และแน่นอนว่ายานพาหนะที่ใช้ในการเดินทาง คงเป็น Porsche Cayenne ที่มีชื่อผมเป็นเจ้าของ) แต่เป็นเพราะเราควรจะปรับตัวในเรื่องการใช้น้ำมันมากกว่า เช่น วางแผนก่อนเดินทาง ไม่ใช้รถพร่ำเพรื่อ ตรวจเช็ดสภาพเครื่องยนต์เพื่อการประหยัดน้ำมัน หนัมาใช้พลังงานทางเลือก (เหลือเชื่อที่ มอเตอร์ไซต์ yamaha ที่แสนเก่าคันที่ผมขี่อยู่ประจำ จะสามารถเติม E-20 ได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆ) ลดค่าใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยบางประการลง เท่านี้เราก็ประหยัดได้ไม่น้อยแล้วหล่ะครับ

หรือไม่ก็ มอเตอร์ไซต์ไฟฟ้า สิครับ ประหยัดสุดๆ ก็เลือกอันที่มันดีๆหน่อยแล้วกัน บางรุ่นก็สามารถจดทะเบียนได้แบบรถปกติเพราะกำลังมอเตอร์ไฟฟ้าของมันนั้น มีพละกำลังความเร็วที่ขับเคลื่อนออกมาเร็วเทียบเท่ารถมอเตอร์ไซต์เลย ผมเคยลองใช้มาแล้ว แต่พังไปนานแล้ว เพราะเป็นรุ่นที่นำเข้ามาใหม่ๆ ทำจากประเทศจีน เลยไม่ทนเท่าที่ควร ตอนนี้เหลือแต่โครงรถกับพ่อผมำด้จัดการงัดเอาแบ็ตเตอรี่ออกมา แล้วจัดการดัดแปลงรถจักรยานธรรมดาที่มีอยู่ ให้เป็นรถจักรยานไฟฟ้า โดยใช้แบต้เตอรี่ตัวเก่าจากมอเตอร์ไซต์ไฟฟ้าที่พังไปนานแล้ว

ตอนนี้ก็ใช้รถใช้รถใช้น้ำมันตามปกติ แต่เติมแต่ แก๊สโซฮอลล์ สถานเดียว

ไม่มีความคิดเห็น: